วันจันทร์ที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

โมงยามของความฝัน

ผมไม่รู้ว่าตัวเองนั้นเผลอนั่งเหม่อให้ห้วงคำนึงของตนเองนั้น ได้โบยบินไปนานแค่ไหนแล้ว
มารู้สึกตัวเองอีกครั้ง เมื่อปุยฝนจับเป็นไรชื้นบนใบหน้า เมล็ดฝนบางๆมาเยือนเป็นคำรบสอง
ทว่าผมยังนั่งตำแหน่งเดิม ใต้ร่มไม้ครึ้มใหญ่

ขึ้นมาเชียงใหม่ก็หลายครั้ง เห็นร้านนี้มานาน แต่ไม่มีโอกาสสักครา นี่เลยเป็นครั้งแรกที่ได้มาเยือนร้านกาแฟอันสวยงาม
"ทำไมถึงสวยงามเช่นนี้" อดเผลอรำพึงออกมาไม่ได้
แทบทั้งร้านเสมือนถูกโอบกอดด้วยอุ่นรักของต้นไม้ เสมือนเจ้าของร้านจะรักต้นไม้มาก เพราะการออกแบบร้านนั้นแทบจะไม่เข้าไปเปลี่ยนแปลงสภาพเดิมของต้นไม้ แต่ตัวเรือนบ้านเสียเองเล่า กลับต้องออกแบบให้หลบหลีกการดำรงอยู่ของพงพนา ด้านหลังร้านมีต้นไม้สูงใหญ่ยืนต้นอยู่ พร้อมร่มเงาเป็นที่กำบัง ลม แดด ฝน ให้แขกที่มาเยือนได้พำนักอย่างมีความสุข ร่มไม้ที่ครึ้มได้ตระหง่านโอบยื่นมาข้างหน้า จนแผ่ขยายคลุมร้านทั้งร้านให้ร่มเย็น

...รักก็เป็นเช่นนี้แหละ ยินยอมทุกอย่าง เพื่อให้สิ่งที่ตนรักนั้นเป็นสุข...

การมาเชียงใหม่ครั้งนี้ แม้นจะเป็นช่วงเวลาอันนสั้น แต่กลับตอกย้ำแรงปราถนาในสิ่งที่ต้องการทำให้ชัดเจนกว่าเก่า อาจจะเรียกได้ว่าตกผลึกมากกว่าเดิมก็ว่าได้

เมื่อวานผมใช้เวลาทั้งวันไปกับการไปเยือนพี่ชายคนหนึ่งที่รู้จักกันมานาน เราไปดูสถานที่แห่งหนึ่งด้วยกัน เราเคยคุยกันถึงความฝันที่แต่ละคนอยากทำ และมาร่วมมือกัน พื้นที่แห่งนั้นห่างไกลจากชุมชน สงบ โอบล้อมด้วยป่าไม้ มีสายน้ำไหลผ่าน มองไปเบื้องหน้านั้นเหล่า ก็เห็นขุนเขาชราที่ถูกเมฆหมอกปกคลุมเรือนยอด เด่ด ตระหง่านอยู่ข้างหน้า

เห็นแล้วต้องฉงนฉงาย นี่คือสวรรค์ หรือ ความฝันกันแน่หนอ

เป็นพื้นที่ที่เราจะทำเป็นสถานที่เรียนรู้เรื่องหลักสูตรการฝึกอบรมภาวะด้านใน เรียนรู้เรื่องสุขภาพบำบัดด้วยวิธีธรรมชาติ เรียนรู้ศาสตร์และศิลป์แห่งการเยียวยาจิตวิญญาณ เราเดินดูพื้นที่ด้วยกันทุกซอกมุม พร้อมทั้งการแลกเปลี่ยนสนทนาอย่างถูกคอและออกรสชาติ ภาพที่เห็นเบื้องหน้านั้น คือ จินตภาพที่ร่ายรำออกมาจากความฝันอันงดงาม ทุกสิ่งเป็นฝันที่ตกผลึกทางความคิดมายาวนาน และตั้งใจกระทำมากที่สุด

เป็นฝันที่ผมอยากทำ แม้นจะเป็นพื้นที่เล็กๆไม่มีใครเห็น แต่ผมก็เป็นสุขที่ให้ฝันนั้นเป็นตัวตน

...นึกถึงใครบางคน ที่อยากให้ร่วมปันฝัน...

แท้จริงแล้วการตกผลึกทางความคิดนั้น จะเป็นไปตามช่วงวัย ประสบการณ์ การเรียนรู้อย่างเท่าทันทางสังคมก็อาจจะเป็นอีกส่วนหนึ่ง ทว่าสิ่งที่ขาดไม่ได้เลย คือ การตรวจสอบ หรือการสอบสวนภาวะแห่งกระตระหนักรู้ของตนเอง ว่าได้เจริญงอกงาม หรือ ยังยึดมั่นในฝัน แรงปราถนาแห่งตนหรือเปล่า หรือว่าเผลไผลไปกับสิ่งล่อหลอกรอบด้าน

สำหรับผมนั้น เป็นสุขยิ่งที่ได้เดินตามฝันของตนเองมาตลอด แม้นว่าขวากหนามระหว่างทางจะฝากแผลไว้ไม่ลบเลือน

กว่าจะรู้ตัวอีกที ก็ถูกสายฝนกระหน่ำลงมาตักเตือนว่าตื่นได้แล้ว
ผมเหงยหน้าเหม่อมอง ยิ้มให้กับสายฝน ร่มไม้ สิ่งรอบด้าน

ขอบคุณนะ ที่ให้ฉันได้เรียนรู้เส้นทางอีกสายหนึ่ง
ขอบคุณทุกสิ่งทุกอย่าง ที่เปิดโอกาสให้ฉันได้โบยบินไปตามขอบรุ้งหลากสี

วันพุธที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

คนชายขอบ...ศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์


เมื่อยามค่ำคืนของวันสองวันที่ผ่านมา
ขณะที่ผมกำลังเพลิดเพลินกับการเล่นโยคะอยู่เพียงลำพัง
ช่วงนี้อาจจะฟิตการเล่นโยคะมากหน่อย เพราะเดือนหน้ามีคิวต้องไปสอนหลายที่

ก็มีเสียงโทรศัพท์เข้ามา...
อืม.. ไม่อยากจะรับ เพราะสมาธิกำลังนิ่งดีทีเดียวกับท่าอาสนะในแต่ละท่วงท่า
ทว่าเสียงโทรศัพท์ ก็ดังมาเรื่อยๆ ไม่มีทีท่าของการยอมแพ้จากอีกฝ่ายหนึ่ง
ผมเลยยอมเสียเอง ...รับสาย...

เสียงจากฟากหนึ่ง บ่งบอกถึงความกระวนกระวายและร้อนรนอย่างหนัก
"พี่เล็ก พี่เล็ก... ชาวบ้านกะเหรี่ยงที่คลิตี้ถูกจับ..."
"หา..." ผมอุทานด้วยความอึ้ง นึกในใจ อีกแล้วเหรอ

ใจความที่ถูกจับประเด็นได้ ก็คือเรื่องเดิมที่เราพยายามสู้กันมานาน
กะเหรี่ยงคลิตี้อยู่ที่นั่นมานมนานนับร้อยปี แต่ก็มีความพยายามจากป่าไม้ที่จะประกาศอุทยานแห่งชาติลำคลองงู ทับที่ทำกินของชาวบ้าน ซึ่งชาวบ้านไม่ยอม เลยต้องยันกัน ฟากชาวบ้าน ก็มีคนทำงานอนุรักษ์ในจังหวัดกาญจนบุรีมาช่วย จากส่วนกลางก็มีคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ สภาทนายความร่วมด้วยช่วยกัน

เหตุการณ์ครั้งนี้เกิดขึ้น...
เมื่อทางเจ้าหน้าที่ป่าไม้ ต้องการยึดพื้นที่ทำกินชาวบ้าน ด้วยการใช้ยุทธวิธีปลูกป่าทับไปบนพื้นที่ทำกินของชาวบ้าน ซีกชาวบ้านกะเหรี่ยงก็ไม่ยอมอย่างเด็ดขาด เพราะนั่นหมายความถึง ปากท้องและชีวิตของพวกเขา

จะดำรงชีวิตอย่างไรหากไม่มีที่ดินเพื่อทำกินเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง เมื่อกะเหรี่ยงขัดขวางการปลูกป่าของป่าไม้ จึงถูกจับกุมเข้าตะราง และหากต้องการให้มีการปล่อยตัวออกมาก็ต้องหาเงินมาค้ำประกัน 180,000 บาท

แล้วจะหาเงินที่ไหนว่ะเนี่ย
มันกลั่นแกล้งกันชัดๆ
ชาวป่าชาวเขาจะหาเงินขนาดนั้นที่ไหนมาประกันตัวว่ะ
ไอ้เหี้ย...ไอ้ห่า...พวกมึงจะกลั่นแกล้งชาวบ้านไปถึงไหนว่ะ
มึงรีดเลือดปูเลยนะเนี่ย...
...ความเครียดและเบื่อหน่ายสังคมก็เริ่มผุดพรายในจิตใจ

ตื่นเช้ามาก็รีบประสานกับทีมงานทางเมืองกาณจน์ และเดินทางไปพบผู้ใหญ่ท่านหนึ่งที่นับถือของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนเพื่อปรึกษาช่วยเหลือชาวบ้าน จากนั้นก็โทรปรึกษาพี่นักกฏหมายคนหนึ่งซึ่งทำงานที่สภาทนายความว่าจะมีทางออกเรื่องนี้อย่างไร

สิ่งสำคัญที่ผมต้องการปรึกษาคือ เราจะมียุทธวิธีแนวรุกอย่างไรกับทางป่าไม้ เพื่อไม่ให้มีการจับกุมชาวบ้านอีก เราต้องเล่นเชิงรุกแบบเบ็ดเสร็จ ไม่ใช่เอาแต่ตั้งรับ ไม่งั้นเหนื่อยแย่

ระหว่างที่ผมเดินทางไปคณะกรรมการสิทธิฯ ซึ่งตั้งอยู่ย่านใจกลางแหล่งธุรกิจ อันห้อมล้อมด้วย มาบุญครอง สยามเซ็นเตอร์ สยามดิสคอฟเวอรรี่ ฯลฯ สีสันและลีลาชีวิตของคนเมืองช่างเป็นดำกับขาวกับคนที่อยู่ชายขอบ คนเมืองมีทุกอย่าง และถูกปรนเปรอทุกอย่างจนเห็นแก่ตัวอย่างไม่รู้ตัว
เมื่อโลกร้อน...ก็หาว่าป่าไม้ถูกทำลาย คนเมืองรียกร้องให้มีการอนุรักษ์ ลดการปริโภค แล้วก็เริ่มหาเหยื่อ นั่นไงพวกชาวเขาเป็นพวกตัดไม้ทำลายป่า ...ประณาม...
น้ำขาดแคลน...ต้องสร้างเขื่อน คนส่วนน้อยต้องเสียสละให้คนส่วนใหญ่ คนส่วนน้อย คือ คนบ้านนอกคอกนาที่ต้องถูกอพยพ คนส่วนใหญ่ คือ คนเมืองที่เรียกร้องเอาแต่ได้ทุกอย่าง
ประเทศชาติต้องการการพัฒนา เราต้องทำถนนหนทาง พัฒนาอุตสาหกรรม อาคารสถานที่ คนเมืองเรียกร้อง คนบ้านนอกคอกนา ต้องสูญเสียผืนป่าและขุนเขาที่เป็นแหล่งพึ่งพิงด้านความมั่นคงทางอาหารและหลักประกันของความสุขไป
คนเมืองเรียกร้องให้อนุรักษ์
คนบ้านนอกถูกกระทำ
คนเมือง ใช้ไฟฟ้าหามรุ่งหามค่ำ, ดูหนัง ฟังเพลง อยู่คอนโด ทาวเฮ้าส์ บ้านจัดสรร (ที่ต้องระเบิดภูเขาในป่ามาสร้าง) บริโภคทุกอย่างภายใต้กระแสทุนิยม
คนป่า ต้องอยู่หวาดระแวง กลัวถูกไล่ที่ คืนนี้จะนอนที่ไหน ถูกจับไหม ใครจะมากลั่นแกล้งอีก จะทำไร่ได้ไหม เพราะคนเมืองหาว่า พวกเขาเป็นนักทำลาย
นี่นะเหรอสังคมไทย
แม่ง...มันเห็นแก่ตัวฉิบหาย
พอไม่เขียนแล้ว ยิ่งเขียนยิ่งมีอารมณ์ดิบ........

วันอังคารที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2551

คุณยายขายพวงมาลัย


ผมผ่านไปมาแถวปิ่นเกล้าบ่อยมาก
บ่อยกระทั่งว่า มีภาพชีวิตภาพหนึ่งที่เห็นจนชินตา
ใช่ ชินตา แต่ไม่ชินใจ...
ทุกคราที่เห็น มักเกิดอาการสะท้อน ดั่งมีกลุ่มควันอัดแน่นในอก
คุณยายเดินกระท่อนกระแท่น
ขายพวงมาลัยที่สี่แยกบรมราชชนนี
คุณยายแต่งกายด้วยชุดที่สะอาด
พวงมาลัยก็สวยงาม ปราณีต

ลูกหลานอยู่ไหนหนอ...
หลายคนคงคิดเช่นนั้น คล้ายเรา
ไม่อยากให้คุณยายมาเดินแบบนี้เลย
...คิดถึงแม่ตัวเองจัง...
...รักแม่มากนะ ...รู้ป่าว...

วันเสาร์ที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2551

จะคิดถึงเธอ...


เธอ คนที่ฉันคิดถึงทุกวันวาน
ห้วงยามใดที่ลำแสงแรกแห่งอรุณ สาดส่องแสงกระทบผืนพสุธา
...ฉันจะคิดถึงเธอ...
ห้วงยามใดที่จันทราแห่งราตรีกาล ส่องแสงนวลใยสัมผัสผิวน้ำ
...ฉันจะรักเธอ...
อยากให้เธอรับรู้ไว้ว่า
เพียงสายลมอ่อนไหวรอบกายเธอ
คือ ความอบอุ่น ความคิดถึง
...ที่มีให้เธอเสมอมา...

เธอที่แท้


การจะมองดูพระอาทิตย์ยามสนธยาอย่างแท้จริง
จะต้องไม่มีการเปรียบเทียบ
การที่จะมองดูเธออย่างแท้จริง
ฉันจะต้องไม่นำเธอไปเปรียบเทียบกับคนอื่น

ฉันจะเข้าใจเธอได้ก็ต่อเมื่อ ฉันได้เฝ้ามองดูเธออย่างสิ้นสุดจิตใจ
โดยไม่สรุปเธอด้วยข้อเปรียบเทียบ

เมื่อฉันเอาเธอไปเปรียบเทียบกับคนอื่นๆ เท่ากับว่าฉันไม่ได้เข้าใจเธอ
.......เป็นเพียงการสรุปและการตัดสิน.............
แล้วก็พูดว่าเธอเป็นอย่างนั้นอย่างนี้

ดังนั้น อวิชชาย่อมเข้าครอบงำ เมื่อเกิดการเปรียบเทียบขึ้น
ด้วยการนำเธอไปเปรียบเทียบกับคนอื่น
เท่ากับเป็นการเหยียดหยามต่อศักดิ์ศรีของมนุษย์

แต่เมื่อฉันมองดูเธอโดยปราศจากการเปรียบเทียบ
ความสัมพันธ์ของเราก็จะให้เกิดความเข้าอกเขาใจ

และในความสัมพันธ์ทุกชนิดซึ่งปราศจากการเปรียบเทียบ
ย่อมเต็มไปด้วยความเห็นอกเห็นใจ
ย่อมเต็มเปี่ยมไปด้วยศักดิ์ศรีของมนุษย์...........

จาก...แด่หนุ่มสาว
กฤษณมูรติ เขียน
พจนา จันทรสันติ แปล

วันศุกร์ที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2551

เรียนรู้จิตด้วยใจ 3 "ความงดงามที่ซุกซ่อนอยู่ทุกซอกหลืบของสังคม"

หลังจากสิ้นสุดการฝึกอบรม ผมได้เพื่อนใหม่ๆชาวต่างชาติเพิ่มขึ้นเยอะพอควร อาจเป็นเพราะผมเป็นได้กลายเป็นผู้รับสารจากเขาและส่งสารนั้นต่อไปให้อาจารย์อีกทอดหนึ่งก็เป็นไปได้

ฟาง ฟาง สาวน้อยหน้าตาน่ารัก นิสัยดีมากๆ ชาวสิงคโปร์ เธอเป็นคนหนึ่งที่มีอาการหนักพอควรระหว่างการฝึกอบรม เข้าพบอาจารย์บ่อย มาทราบทีหลังเป็นเพราะคุณเธอเป็นอาจารย์สอนโยคะอยู่ที่สิงคโปร์มานานหลายปี พลังปราณภายในร่างกายที่เธอได้ซึมซับนั้นเป็นแบบปราณายาม อันไปสร้างระบบจักรภายในร่างกายของเธอ เมื่อเธอมาฝึกการนั่งวิปัสสนาอีกแบบหนึ่งซึ่งเป็นระบบปราณที่แตกต่างกันสิ้นเชิง ทำให้พลังปราณทั้ง 2 ขั้วตีกันเองภายในร่างกาย จนร่างกายของเธอสั่นสะท้านและหมุนติ้ว ดีที่ว่าเธอรู้ตัวเสียก่อนจึงรีบมาพบอาจารย์ เพื่อช่วยแก้ไข เมื่อจบหลักสูตรอาจารย์จึงไม่อนุญาตให้เธอปฎิบัติสายนี้ต่ออีกเลย ที่จริงถ้าฟาง ฟาง เข้าใจอาจารย์จะรู้ว่าอาจารย์นั้นเมตตามากนะ เพราะถ้าฝืนให้ฝึกต่ออาจจะเหมือนหนังจีนก็ว่าได้ ประมาณว่า ธาตุไฟเข้าแทรก จนลมปราณแตกซ่าน เมื่อถึงเวลานั้น ก็สุดจะเยียวยาแก้ไขแล้ว

ผมมากินข้างกับฟาง ฟาง ที่สยามพารากอน หลังจากนั้นก็แยกย้ายกันไป และวันนี้ผมกะว่าจะกลับลงปักษ์ใต้เพื่อไปเฝ้าแม่ที่กำลังจะเดินทางไปผ่าตัดที่โรงพยาบาล เลยโทรหาหลานสาวว่าต้องการอะไรบ้าง เดี๋ยวจะซื้อไปให้ หลานฝากซื้อของเยอะแยะไปหมด ส่วนใหญ่จะเป็นประเภทพู่กัน สมุดสอนการวาดรูป สีน้ำ สีอะครีลิก สีน้ำมัน และการใช้ดินสอวาดรูปบุคคล เจ้าหลานสาวคนนี้มีอารมณ์ทางด้านศิลปะมาแต่เกิดแล้วละครับ และด้วยความเสียดายค่าธรรมเนียมหากต้องกดเงินที่บ้าน เลยกดไปเลยเสียหลายหมื่นบาท ประมาณว่าคำนวณแล้วเพียงพอกับค่าผ่าตัดและพักฟื้น

เมื่อจัดการทุกอย่างเรียบร้อย ก็เดินทางด้วย Taxi ไปสายใต้ พอมาถึงก็ล้วงกระเป๋าสะพายจะเอาเงินให้คนขับ ปรากฏว่ากระเป๋าเงินหาย ใจหายวาบ หน้าซีด ....กระเป๋าเงินหาย....แว้บแรกที่เข้ามาในความคิด คือ แม่ เพราะเงินเหล่านั้นเป็นเงินที่ต้องใช้ในการผ่าตัดและรักษาพยาบาล แว้บต่อไปนี่นึกถึงคือ สาวน้อยนางหนึ่งที่เธออยู่โซนแถวๆนั้น เลยรีบโทรไปหาเพราะอาจจะช่วยไปติดต่อประชาสัมพันธ์ที่สยามพารากอนให้ได้ โทรหลายครั้งไม่ติด ไมรู้ทำไงก็ยอมรับสารภาพกับคนขับTaxiอย่างกระดากใจว่าเงินเราหล่นหายไปหรือไม่ก็ถูกล้วงกระเป๋าไปเสียแล้ว ลึกๆก็หวั่นวิตกว่าพี่คนขับรถจะไม่เชื่อ คิดว่าเราจะหลอกนั่งรถพี่เค้าฟรี คนขับคงเห็นหน้าตาผมซีดและแสดงอาการตกใจมากๆ คงจะนึกสงสารผม เพราะเขานิ่งและพูดจาดีกับผม ไม่ด่าทออะไรเลย ไม่เก็บเงิน ผมเลยรีบขอหมายเลขบัญชีและเลขโทรศัพท์ เพื่อว่าวันหน้าเวลามีเงินจะได้โอนไปให้

เรื่องที่เกิดขึ้นได้ทำให้ผมได้เรียนรู้อะไรมากมาย

1. คนขับ taxi คนนี้อารีย์มากๆ ไม่เลยแม้แต่จะแสดงสีหน้าฉุนเฉียว แต่กลับเมตตาและพูดจาอย่างเป็นมิตร พร้อมทั้งเตือนสติผมให้ใจเย็นๆ ค่อยๆหา เราทุกผู้นามอยู่ในสังคมที่หลากหลาย แก่งแย่ง ชิงเด่นกัน น้ำใจไมตรีแทบจะหากันไม่ได้เลย โดยเฉพาะสังคมเมืองหลวงอันเป็นสังคมที่เห็นแก่ตัวอย่างมาก นึกถึงตนเองเป็นหลัก ข้างนอกดูสวยหรู เท่ห์ แต่นึกถึงตนเองเป็นหลักแทบทั้งนั้น การได้เจอคนขับที่เราตกอยู่ในภาวะที่ไม่ทันตั้งตัวอย่างนี้ ทำให้รู้ว่า ความงดงามนั้นยังมีเหลืออยู่ในซอกมุมเปลี่ยวร้างสังคมเมืองหลวง

2. เพื่อนรัก เพื่อนคนนี้ต้องรู้สึกขอบคุณอย่างมาก เพราะที่ผ่านมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน เวลาผมเดือดร้อนทีไร เพื่อนคนนี้ไม่เคยถึงเลย ยื่นมือมาช่วยเหลือตลอด วันนั้นหลังจากที่ลงจาก Taxi ผมมีเงินเหลืออยู่เพียงแค่ 10 บาท รีบโทรไปหาเพื่อนให้มารับ เพื่อนก็บึ่งจากบางบัวทองมาสายใต้แห่งใหม่ มาถึงยังให้เงินใช้อีกต่างหาก ..........ซาบซึ้งมากๆ.............

3. น้องชาย....ผมรีบโทรไปหาน้องชายเพื่อบอกถึงปัญหาที่เกิดขึ้น เจ้าน้องชายก็ดีมากๆไม่ตกใจเลย บอกว่าไม่เป็นไรเดี๋ยวเรื่องค่าใช้จ่ายทั้งหมดเค้าจะรับผิดชอบเอง ผมขอบคุณน้องชายมากๆ อันที่จริงตั้งแต่แรก ผมเป็นคนบอกน้องชายเองว่าจะรับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมด เพราะสามารถไม่เดือดร้อนอะไร อยากให้เค้าเก็บเงินไว้ใช้ รู้สึกเสียใจเหมือนกันนะ ที่ทำให้น้องตัวเองเดือดร้อน เพราะต้องรับภาระทั้งหมดด้วยตนเอง แถมน้องยังโทรมาถามเป็นระยะๆว่ามีเงินมั้ยจะโอนมาให้ ต้องขอบคุณแต่ไม่รับ เอาไว้ดีแลแม่เถิดดีแล้ว

4. ผมโทรไปหาพี่วนิดา บอกเรื่องราวที่เกิดขึ้น พี่เค้าตกใจ เลยจะพยายามรวบรวมเงินจากคนรู้จักที่ไปเข้าศูนย์นั่งวิปัสสนา เพื่อให้ผมเอาไปรักษาแม่ ตอนนั้นรู้สึกตื้นตันใจมากๆ ที่มองไปทางไหนยามที่เราอับจน ก็เจอแต่คนที่อยากจะยื่นมือมาช่วยเราทังนั้น ก็บอกขอบคุณและปฎิเสธไป ไม่อยากให้ใครเดือดร้อน ตอนนี้น้องชายก็รับภาระเรื่องนี้ไปแล้ว

ขอบคุณนะ....
ขอบคุณพี่Taxi ขอบคุณทุกๆคน ที่ได้ยื่นมีเข้ามาทั้งโดยทางตรงและอ้อม
ทำให้ผมได้รับรู้ว่า ในพื้นที่เปลี่ยวร้างของสังคมเมือง ยังมีเมล็ดพันธุ์ของความดีงามงอกเงยอยู่
ทำให้ผมได้รับรู้ว่า...ผมไม่ได้โดดเดี่ยว...บนโลกใบนี้
ยังจำคำของพี่สุภาพร พงพฤกษ์ พี่สาวที่ผมนับถือ และเป็นครูสอนโยคะคนแรก

พี่เค้าเคยบอกผมว่า
"เล็ก เชื่อมั่นในเส้นทางสายจิตวิญญาณ ที่เล็กกำลังเดินอยู่มั้ย
เส้นทางสายนี้แปลกนะ คล้ายดั่งเรากำลังเดินเพียงลำพัง คนเดียว
แต่เมื่อใดที่เราเดือดร้อน หรือพลาดพลั้ง
จะมีกัลยาณมิตรทั้งที่รู้จักและไม่รู้จัก ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือเรา ทุกคราไป"

ผมเชื่อครับพี่สาว
ผมเชื่อมานานแล้ว
เพราะหลายครั้งด้วยกัน ที่ผมประสบกับปรากฏการณ์นี้ด้วยตนเอง

ผมไม่เพียงแค่เชื่อมั่นนะครับพี่
แต่ศรัทธาเส้นทางสายนี้อย่างไม่สั่นคลอน........

วันพฤหัสบดีที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2551

เรียนรู้จิตด้วยใจ 2 "ความทุกข์ของเพื่อนมนุษย์"

จะว่าไปแล้วการเป็นล่ามก็ช่วยให้ผมเรียนรู้จิตของเพื่อนมนุษย์ได้ดีขึ้นมาก
ตระหนักว่าความทุกข์ระทมนั้นไม่มีการแบ่งแยกชาติพันธุ์ ศาสนา และภาษา เวลาทุกคนสุขก็สุขเหมือนกัน เวลาทุกข์ก็ทุกข์เหมือนกัน ไม่มีว่าทุกข์ของชาวพุทธนั้นจะขมขื่นกว่าอิสลาม คริสต์ หรือ ฮินดู ยามสุขนั้นเราก็สุขเหมือนกัน

เช่นกัน เราทั้งผองหมู่มวลมนุษยชาติ ก็อยากที่จะเรียนรู้ว่าทุกข์ที่แท้นั้นคืออะไร และหนทางที่สามารถหลุดพ้นจากทุกข์นั้นควรจะทำอย่างไร

ในแต่ละวันนั้น มีเพื่อนชาวต่างชาติต่างก็ผลัดเปลี่ยนมาให้อาจารย์รับรู้ความทุกข์ของตน และถามถึงวิธีการหลุดพ้นจากทุกข์นั้น บ้างก็มาด้วยความระทมที่แสดงออกมาทางสีหน้า บ้างก็ร้องไห้ บ้างก็แค่อยากมาระบาย คำถามที่ถามออกมาจึงเต็มไปด้วยพลังด้านมืดอันทุกข์ระทน จึงเป็นการยากสำหรับข้าพเจ้าที่จะหลีกเลี่ยงไม่ให้รับผลกระทบจากพลังแห่งทุกข์นั้นๆ

ในแต่ละวันหลังจากเสร็จสิ้นจากการเป็นล่าม บางครั้งข้าพเจ้าต้องนอนระทมด้วยความปวดหัว บ้างก็กลับมากระสับกระส่ายจากเรื่องราวที่ต้องรับรู้ทุกข์ของเพื่อนๆ ผมอัศจรรย์ใจมากว่าทำไมอาจารย์ถึงสามารถนิ่งสงบและมีเมตตาแด่ศิษย์ได้ขนาดนั้น อาจารย์สงบเพียงพอที่สามารถฟังทุกข์จากศิษย์ได้ และให้คำอธิบายกับศิษย์เหล่านั้นอย่างอดทน ที่สำคัญคือ อาจารย์สามารถปล่อยวางกับเรื่องราวแห่งสรรพสิ่งได้อย่างมีอุเบกขา

ยามที่เห็นทุกคนมีทุกข์ ลึกๆผมอยากจะช่วยให้ทุกคนพ้นทุกข์นะ
ผมอยากเปลี่ยนใบหน้าที่เศร้าหมองเหล่านั้น เป็นใบหน้าที่เบิกบาน
ผมอยากให้ทุกคน ทุกผู้นามในโลกใบนี้ พบหนทางแห่งการหลุดพ้นจากความทุกข์
เพื่อพบความสุขที่แท้จริง..........

วันอังคารที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2551

เรียนรู้จิตด้วยใจ 1 "ฉันเป็น Translator นะเฟ้ย"

เมื่อช่วงต้นๆเดือน ได้รับโทรศัพท์มาจากศูนย์สมาธิ ที่ปราจีนบุรี ถามผมว่าช่วงนี้ว่างมั้ย
อยากจะให้ไปเป็นล่าม ช่วยอาจารย์ผู้สอนหน่อย เพราะอาจารย์ท่านนี้ไม่เก่งภาษาปะกิตเอาเสียเลย
และคอร์สครานี้ มีศิษย์ทะลักเข้ามามาก ต่างชาติก็เยอะ

ใจง่าย ครับ...
รับปากเลย อาจจะเป็นไปด้วยหลายเหตุผล อาทิ คิดถึงวันเก่าๆเมื่อก่อนที่เคยไปเป็นล่ามช่วยอาจารย์ แต่ช่วงหลังซาลงไปเยอะมาก เพราะอาจารย์รุ่นใหม่พูดปะกิตซะน้ำไหลไฟดับ ข้าพเจ้าผู้ซึ่งได้แค่ สเนกๆฟิตๆ เลยกระดากใจถอยห่างออกมา เมื่อได้รับการติดต่อเลยตื่นเต้นปนประหม่า

แต่ก็เผลอลืมตัวเหมือนกันนะ... ช่างน่าละอาย ที่ภูมิอกภูมิใจเสียเหลือเกิน
ตอนที่เดินทางไปศูนย์วิปัสสนา ศิษย์เยอะมากๆ จนใจแป่ว เห็นแต่หัวทองๆ ได้แต่ปลอบใจตัวเองว่า เอาฟ่ะ ไม่ใช่ภาษาพ่อ ภาษาแม่ เราพูดไปให้มันเดาตามไป จะได้สนุกสนานกันถ้วนหน้า

ไปถึงก็ได้รับทราบว่า ห้องพักทั้งหมด เต็มครับ woker ทุกคนตนพยายามหาที่นอนกันเองไม่ยกเว้นกระทั่งผม ผู้จัดการมากระซิบบอกผมว่า พี่หาให้เธอได้ดีที่สุดแล้วนะ นั่นคือ ห้องเก็บของ แต่มันรกมากๆ ไม่มีใครทำความสะอาดมานานแล้ว

ทำเอาผม..อึ้ง..
..อึ้ง.. และก็..อึ้ง..

อัตตาเลยตามมา
กูเป็น "ล่าม" นะเฟ้ย
แล้วไม่ได้ตั้งใจจะมาด้วย พวกคุณโทรมาหาด้วยเสียงออดอ้อนเองนะ เพราะหาคนมาไม่ได้ เพื่อนผมที่เป็นล่ามมันไม่ว่าง นี่ผมยอมสละเวลามาช่วยนะ นี่ต้อนรับกันอย่างนี้เลยเหรอ
เก็บไว้ในใจ ไม่ได้พูดออกมาหรอกครับ
แหะ...แหะ... ไม่กล้า

พอไปพบอาจารย์ที่ต้องช่วยแปล ระหว่างที่สนทนาทำความรู้จักกันและกัน ทั้งซักซ้อมความเขาใจช่วงเวลาที่ต้องช่วยแปลเสร็จเรียนร้อยแล้ว อาจารย์ก็เกริ่นออกมาว่า ทราบว่า คอร์สนี้ศิษย์มากๆ ห้องไม่พอสำหรับ worker ข้างล่างบ้านอาจารย์มีห้องว่าง 1 ห้อง ผมเลยเสียบทันทีเพื่อหนีห้องเก็บของ กระหยิ่มใจว่า สบายแล้วงานนี้

ทว่า หาได้กลับเป็นเช่นนั้นไม่...
เมื่อลงไปดู ห้องพักด้านล่างที่อาจารย์บอกนั้น ก็คือ ห้องเก็บของที่ผู้จัดการบอกผมนั่นเอง
เหวอไม่เป็นท่า แต่ก็มีสติกลับมา รู้สึกละอายใจตนเองที่ให้อารมณ์มาครอบงำอยู่ได้ตั้งนาน ทุกสิ่งที่เกดิขึ้นมามีไว้พื่อเรียนรู้ใจและจิตของตน ภาวะที่ร้อนรุ่มนั้นเป็นทุกข์เพราะสิ่งที่หวังไม่ได้ดั่งใจ ไม่ประสบกับสิ่งที่ต้องการ ผมเลยทดลองเรียนรู้ภาวะตรงนั้นว่า จิตจะเคลื่อยกายต่อไปยังไง

ใช้เวลาในการปัดกวาดเช็ดถู อยู่ครู่ใหญ่ เอาที่นอนหมอนมุ้งมาปู ทั้งโต๊ะ เก้าอี้ มุมหนังสือ พรมเช็ดเท้า เพื่อให้ห้องมีสภาพที่น่าอยู่ เหมาะที่จะอาศัยในระยะเวลาอันสั้น เมื่อมีเวลาเหลือ ก็ออกสำรวจบริเวณรอบๆห้อง พบว่าสงบและร่มรื่นย์มาก พื้นอิฐแดงที่ปูเรียงรายออกไปนั้นครึ้มเขียวด้วยมอสฉ่ำน้ำ ส่วนด้านบนหลังคานั้นก็ปกคลุมแทบมิดด้วยร่มเงาไม้ใหญ่ ถัดออกไปด้านหน้าประมาณ 3 เมตร เป็นดงต้นไม้หลากหลายพันธุ์ที่แย่งเบียดกันสูงชะลูด ส่วนด้านซ้ายของกระท่อมก็เป็นหนองน้ำใหญ่ มีกอดอกบัวแซมเป็นพุ่มๆ สวยงามมาก

ใต้ร่มใม้ใหญ่ข้างหนองน้ำ เป็นสถานที่เหมาะให้ผมนั่งพำนักอย่างเงียบๆ สายลมโชยมาอ่อนๆนำกล่นดอกโมกให้โชยหอมละมุน ยามที่สายตาจับจ้องดอกบัวในหนองนั้น จิตเริ่มนิ่งสงบแทบจะรับรู้ได้ถึงความว่างระหว่างความเงียบ

"แปลกนะ" เสียงรำพึงที่ก้องมาจากสำนึกกระทบโสตประสาท เราทุกผู้นามต่างมีหัวโขนที่สวมแตกต่างกันไป มีทั้งที่รู้ตัวและไม่รู้ตัว ทำให้เกิดการแบ่งแยกชนชั้นในสังคม ชนชั้นสูล กลาง ล่าง ทั้งฐานะ หน้าที่การงาม เงิน ทาง ลาภ ยศ สรรเสริญ ทำให้เกิดการโอ้อวด ภูมิใจในความเด่น และเก่งกาจเหนือกว่าคนอื่น เป็นการสร้างอัตลักษณ์และอัตตาในตัวเอง เหล่านี้เป็นจุดเริ่มของการสร้างแปลกแยกและขัดแย้งกันเองของมนุษยชาติในโลกใบนี้

ในโลกแห่งโลกียะ.... หากใช้ชีวิตอย่างไร้สติ มัวเหมาด้วยอวิชชา เราทั้งผองก็จะมีความทุกข์ระทม ผมไม่อาจปฎิเสธตัวเองได้ว่า ยามที่พลั้งเผลอแห่งสัมปะชัญญะ ก็ตกในสังสารวัฎแห่งความทุกข์กับเขาด้วยเหมือนกัน

โลกภายในกายจะสะท้อนออกมาเป็นภาวะการกระทำที่กระทบโดนตรงกับโลกภายนอก ยามที่เราทุกข์ระทม เราจะรู้สึกได้ถึงความเศร้าหมองของโลก ทว่าในช่วงเวลาของสถานที่เดียวกัน เมื่อใดที่เราเบิกบานเ เราจะพบเห็นการเริงระบำของดอกไม้ และเสียงบอกเล่าตำนานจากผูภา

สรพพสิ่งล้นเกิดจากการกำหนดและตระหนักรู้ถึงแห่งภาวะจิตภายในกาย ดั่งเช่นผม ยามที่ขุ่นมัวนั้น มองไม่เห็นถึงความงดงามรอบข้าง จิตเต็มไม่ด้วยอวิชชาแห่งโมหะ ทว่ายามเมฆหมอกของความชั่วร้ายคลี่คลายออกไป พบว่าสถานที่แห่งนั้นเรียบง่ายอย่างงดงาม ทั้งหมดนี้ไม่ใช่เหตุอันเกิดแต่จิตหรอกหรือ

การเรียนรู้ ขัดเกลา ฝึกฝนจิตนั้นเป็นสิ่งสำคัญ เป็นการฝึกถึงการเท่าทันในภาวะตระหนักรู้ยามเมื่อเราต้องเผชิญทุกสิ่งในภาวะที่ไม่คาดคิด ฝึกปล่อยวางจากการคาดหวัง

บทเรียนครั้งนี้ น่าละอายใจตัวเองนัก แต่หากมองอีกมุมหนึ่ง นี่ก็คือครู ที่เข้ามาทดสอบเราเป็นระยะๆ ว่าแท้จริงแล้วภาวะแห่งการะเรียนรู้ถึงการปล่อยวางนั้นเป็นเช่นไร...

........May all being live in peace happiness and harmony.................

วันจันทร์ที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2551

ฟังเสียงหัวใจตนเอง

ตะแรกไม่ได้คิดว่าจะต้องเขียนเรื่องนี้หรอกนะ เพราะมีเรื่องมากมายที่อยากเขียน
อยากเขียนถึงตนเอง เพราะห่างหายไปนาน
แต่ก็เก็บเกี่ยวความทรงจำเอาไว้ เพื่อจะเอามาบันทึกเก็บไว้ในนี้

เหตุเพราะว่า เมื่อคืนได้คุยกับมี่ เรื่องการสดับฟังความรู้สึกด้านใน
รับฟังความรู้สึกของหัวใจตนเองที่สนทนากับเรา มากกว่าสิ่งที่เราคิด
เมื่อจบการสนทนากัน ทำให้ผมมาทบทวนเรื่องราวเหล่านี้ของตนเอง เรารับฟังหัวใจที่สนทนากับเรามานานเพียงใดแล้วหนอ อะไรเป็นแรงดลใจที่ต้องทำเช่นนั้น ครุ่นคิดเพียงลำพังครู่ใหญ่ เงาภาพเลือนรางแต่หนหลัง ก็เริ่มผุดพรายแจ่มชัดขึ้นเรื่อยๆ

อาจจะเป็นเพราะที่ผ่านมาตลอดในห้วงยามของชีวิตตั้งแต่เด็กจนย่างก้าวเข้าสู่รุ่นหนุ่มสาวนั้น ผมสู้และฝ่าฟันด้วยความลำบากมาตลอด ไม่มีอะไรในชีวิตของตนเองที่ได้มาอย่างง่ายดายเหมือนคนอื่น เรื่องราวบางเรื่องบอกกล่าวใครก็ไม่ได้ สิ่งที่ทำได้ก็คืออยู่เพียงลำพัง และเริ่มสนทนากับด้านในของตนเอง

หลายครั้งในชีวิต ที่คนทางบ้านคิดว่าน่าจะเพี้ยน เพราะผมชอบนั่งมองก้อนเมฆ และพระจันทร์ในยามราตรีที่หน้าระเบียงบ้าน อันอวลด้วยกรุ่นกลิ่นของดอกแก้วข้างบ้าน ผมชอบนั่งมอง ทั้งยิ้ม หรือสนทนากับตนเองร่ำไป

แม้กระทั่งบัดนี้ ผมมักจะชอบนั่งเพียงลำพังเป็นประจำ ที่ริมชายขอบของแม่น้ำเจ้าพระยา เสียงสนทนาจากด้านใน แลการโต้ตอบกับสายน้ำนั้นแจ่มชัดในคำตอบ

การสดับเสียงด้านใน เป็นการเยียวยาและให้กำลังใจตนเองเสมอมา เสมอเหมือนว่าเข้มแข็ง แต่อ่อนล้าเต็มที ตอนนั้นไม่เข้าใจว่าอันใดหนอ ชะตากรรมเราถึงเป็นเช่นนี้ เมื่อโมงยามเคลื่อนกายไปบนขอบเขตของกาลเวลา จนถึงปัจจุบันขณะ ผมได้พบว่า แท้จริงแล้ว สิ่งเหล่านั้นไม่ได้เกิดขึ้นมาอย่างบังเอิญ ทว่ามีเหตุผลด้วยตัวของมันเอง รอให้เราคลี่คลายถอดรหัสยนัยด้วยปัญญาญาน หากมีสติเท่าทัน เราจะรับรู้ถึงลีลาชีวิต

แม้กระทั่งตอนที่เรียนราม และได้เข้าไปอยู่ชมรมภูมิศาสตร์ก็ตามเถิด ผมมักทำอะไรตามที่ใจด้านในกระซิบแนะแนวทางมาตลอด
นั่นอาจจะเป็นสิ่งที่ดี แต่อีกด้านหนึ่งก็สร้างความอึดอัดใจให้กับบรรดาเพื่อนรอบข้าง และมองเราในสายตาที่ไม่เข้าใจ และแปลกแยกออกไป ทว่าผมก็อีกนั่นแหละที่ไม่ได้สนใจความรู้สึกของเพื่อนสักเท่าไหร่ เลยยิ่งแปลกแยกกันไปใหญ่ กิจกรรมใดๆที่ทำรวมหมู่ หากเห็นว่าไม่ใช่ในความรู้สึก ผมจะไม่ให้ความร่วมมือเลย อะไรที่ไม่มีใครทำ หากรู้สึกดีก็จะทำไปเลย เพียงลำพัง

ผมเริ่มสนทนาหาคำตอบแบบแสวงหาแนวทางชีวิตให้กบตนเองมากขึ้น จำได้ว่า ตอนนั้นโจทย์หลักขึ้น กูเกิดมาแค่นี้เองเหรอ วงจรประจำวัน คือ กิน ขี้ ปี้ นอน วงจรชีวิต เกิด-เติบโต-เรียนให้จบ-หางานทำ-แต่งงาน-มีเซ็ก-มีลูก-แล้วแก่ตาย

เรียนไปทำไมวะ โลกหน้ามีจริงเหรอ เราเป็นใคร มายาและอุดมคติต่างกันตรงไหน หน้าที่และอุดมการณ์คืออะไร ความฝันและความเป็นจริงบรรจบกันได้มั้ย เรามีฝันมากเกินไปจนเพ้อหรือเปล่า สังคมแห่งอุดมคติที่เราแสวงหานั้นอยู่ที่ไหน อยู่ร่วมกันเพื่อเสริมสร้างด้วยฝันของหนุ่มสาวเป็นไปได้มั้ย

จากนั้นเริ่มค้นหาพื้นที่ยืนของตนเองในโลกใบนี้ ทั้งอ่านหนังสือทางเลือก ทดลองสัจจะกับตนเอง หลายอย่างมากๆที่กระทำ จนจำไม่ได้แล้ว
........มันเยอะ..........
เพื่อนฝูงก็ไม่เข้าใจ.............
จำได้ว่า หนุ่มที่เป็นประธานชมรมภูมิศาสตร์และเป็นเพื่อนสนิทกันมาก ได้รับความไว้วางใจจากเพื่อนฝูงให้มาด่าผมเพียงลำพัง

มันนั่งด่าผม 2ต่อ2 ที่โรงอาหารกว่า 2 ชั่วโมง เกี่ยวกับพฤติกรรมทั้งหมดที่ผมกระทำ จำได้ว่ามันนั่งกินโค้กหมดไป 2 ลิตร คนเดียว เพราะความเหนื่อย แต่ก็แปลกนะที่ให้มันนั่งด่าอยู่ได้นานขนาดนั้น โดยไม่โกรธ ถ้าเป็นคนอื่น ผมคงเตะก้านคอ ชกหน้า ตามประสาหนุ่มใต้เลือดร้อนไปแล้ว ผมบอกหนุ่มไปว่า เข้าใจในสิ่งที่หนุ่มพูดทั้งหมด แต่เพื่อนมันไม่เข้าใจผม ผมยืนยันกับหนุ่มที่จะเดินอยู่บนวิถีนี้เพียงลำพัง แม้จะไม่มีใคร ผมก็เป็นสุข เพราะได้เผยความเป็นตัวเองออกมา ไม่เก็บเอาไว้

รุ่นพี่คนหนึ่งในชมรมที่ผมนับถือมากๆ ถึงขนาดพูดออกมาว่า อย่าไปยุ่งกับมัน ปล่อยให้มันเป็นไปอย่างนั้นแหละ ฉุดกลับมาไม่ได้แล้ว มันอยู่แต่ในความฝัน และโลกส่วนตัวมากเกินไป

ใช่......... ผมอาจจะเป็นอย่างนั้น

...อยู่ในโลกของความฝันและโลกส่วนตัวมากเกินไป
แต่ผมก็อยากจะบอกพี่เหมือนกันนะว่า จวบจนกาลเวลาเคลื่อนมาบรรจบถึงปัจจุบันขณะ
ไม่มีอันใดเลยที่เป็นความฝันอันมากมายของผม แล้วผมยังไม่ได้ทำ ผมได้กระทำทุกอย่างมาหมดแล้วในสิ่งที่ฝัน

มันเป็นมหัศจรรย์แห่งชีวิต เลยนะ...
ถ้าเราได้ทำตามบางอย่างที่เราฝัน มันเพิ่มแรงปราถนา เพิ่มพลัง
สำหรับผมนั้น ไม่ใช่แค่บางอย่าง แต่เป็นทั้งหมดแห่งฝัน ที่ผมได้กระทำ
นี่ไม่ใช่หรือ ที่เรากล้าเผชิญทุกอย่าง ด้วยการเผยความเป็นตัวตนที่แท้จริงของเรา
นี่ไม่ใช่หรือ ด้วยการกล้าเผยตัวตนที่มี เป็นแรงบันดาลใจให้กล้าทำสิ่งที่ฝัน

ผมเชื่อนะว่า หลายคนก็เป็นเช่นนั้น เช่นเดียวกับผม เส้นทางสายนี้ไม่ได้เป็นอย่างที่คิด
ไม่ได้สวยงาม แต่เราเลือกที่จะเดินไม่ใช่เหรอ เราเลือกกันเองนะ และเราก็รู้อยู่แล้วว่า เราจะเจออะไรบนเส้นทางที่ไม่ได้ปูด้วยพรม เราเลือกกันเองไม่ใช่เหรอ

แต่ใช่ว่าจะไม่ถูกสั่นคลอนนะ...ลังเลหวั่นไหวบ้าง
ว่า มีเพื่อนมั้ยเนี่ย... มองไปทางไหน ..มืดสนิท..

แต่ผมก็ได้รับคำตอบกับคำว่า "เพื่อน" เมื่อไปค้นหาความลุ่มลึกของตนเองที่อินเดีย ผมพบเพื่อนมากมายที่มาจากทุกสารทิศของโลก แปลกที่เขาเหล่านั้น อายุไม่ต่างกันมาก และมีคำถามต่อชีวิตด้านในคล้ายๆกัน

..อบอุ่น นะ อบอุ่น..
ที่ข้างกายเรายังมีเพื่อนๆอีกมากมายที่มาค้นหาคำตอบ
และเราก็เป็นกำลังใจให้กันและกัน ก่อนที่จะแยกย้ายกันไป

ถึงแม้เราจะแยกย้ายกันไป แต่เราคือชุมชนเดียวกันที่สามารถอยู่ร่วมกันได้ในชุมชนอุดมคติ ห่างไกลเพียงแค่สถานที่ แต่หัวใจและความรู้สึกนั่นมีร่วมกัน

ตอนนี้ผมไม่ได้ค้นหาความเป็นตัวตนของผมหรอกนะ ที่ดำเนินชีวิตอยู่ทุกปัจจุบันขณะกลับเป็นการทำให้คำตอบด้านในนั้นเกิดการคลี่คลายและแจ่มชัดมากขึ้น คล้ายดั่งเมื่อกลุ่มเมฆทึบสลาย แสงจันทราก็ประกายสกาวทั่วม่านฟ้า

หนุ่ม เพื่อนรัก ที่เคยมานั่งด่าผมเมื่อก่อน วันนี้ เริ่มสนใจและค้นหาคำตอบให้แก่ชีวิตขงตนเองมากขึ้น มาสนทนาพูดคุยเรื่องเหล่านี้มากขึ้น ผมถึงกับอมยิ้มแกมหยอกหนุ่มว่า จำด้เมื่อเมื่ออยู่มหาลัยปี 3 หนุ่มนั่งด่าผม และตอนนั้นเราคุยกันไม่รู้เรื่อง เพราะหนุ่มไม่ได้ใส่ใจเรียนรู้ แต่ตอนนี้เราเริ่มคุยภาษาเดียวกัน ที่เข้าใจมากขึ้น มุมมองต่อชีวิตของหนุ่มก็เปลี่ยนไป มุมมองต่อผมนั้นก็เปลี่ยนไปเช่นกัน

ชีวิตนี้ก็เหมือนผลงานทางศิลปะนั่นแหละ ไม่มีอะไรดีกว่ากัน หรืองดงามกว่ากันหมด ไม่มีอะไรที่บอกว่าอันนี้ชอบ อันนี้ไม่ชอบ อันนี้ผิดหรือถูก อยู่ที่เราเลือกข้างที่ว่าจะอยู่กับสิ่งไหน และเราจะพิพากษากับอีกด้านที่เหลือด้วยอคติ

หากเรามองสิ่งเหล่านั้นด้วยการรับรู้ มิใช่การตัดสิน เราจะได้ประสบการณ์ใหม่ตลอดชีวิต
อย่ากระทำทุกอย่างด้วยความคาดหวัง เพราะมันจะให้ผลลัพธ์เฉพาะเจาะจง
ทว่ากระทำทุกอย่างด้วยแรงปราถนา เพราะนั่นคือเสรีภาพ ที่ไม่ยึดติดในสิ่งใด

หากเราสดับฟังหัวใจตนเอง เสียงสนทนานั้น จะเผยโฉมเพื่อคลี่คลายโจทย์ให้กับเราอย่างสม่ำเสมอ
หากเราปฎิเสธและให้ความใส่ใจกับความคิดของตนเป็นหลัก วันหนึ่งเราจะพบว่า เสียงสนทนาจากด้านใน เริ่มแผ่วเบาลง
...และถูกกลืนหายไปในที่สุด...

วันจันทร์ที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2551

Always รักแท้นั้นมีจริงหรือ



นี่เราทำไมใจสะเงาะสะแงะขนาดนี้เนี่ย...
รู้ตัวอีกทีน้ำตาก็ไหลออกมาอีกแล้ว ก็กระซิบบอกตัวเองแล้วว่า
...ก็แค่หนังเรื่องหนึ่ง


น้องที่ทำหนังสือปาจารยสาร บอกว่า ภาคนี้ทำดีกว่าภาคแรกเยอะมาก
"พี่น่าจะไปดูนะ เพราะพี่ก็ดูภาคแรกมาแล้ว ภาคนี้ละเมียดเรื่องอารมณ์มาก"


หนังเล่นอารมณ์กับคนดูมากๆ
เป็นหนังย้อนยุคที่ทำให้เราหวลรำลึกถึงความงดงาม
ของความรู้สึกเก่าๆที่ขาดหายไป
ผมนั่งขอบตาชื้นตั้งแต่หนังฉายไปไม่เท่าไหร่
"ดีจัง ที่แถวที่เรานั่งอยู่ไม่มีใคร ไม่งั้นอายน่าดู"


แต่ตอนสุดท้ายใกล้จบนี่สิ...โดนเข้าจังๆ
ริวโนะสุเกะ นักเขียนหนุ่มผู้มีความฝันอันงดงาม
แต่ผิดหวังทุกอย่างในชีวิตอย่างสิ้นเชิง
ไม่เคยประสบความสำเร็จอะไรเลย
เด็กน้อย จุนโนะสุเกะ ที่อยู่ด้วยกับตนกำลังจะจากไป
ฮิโรมิ นางรำ หญิงอันเป็นที่รัก เป็นทุกอย่างที่เขามี
หญิงอันเป็นพลังให้เขาได้เขียนเรื่องสั้นเข้าประกวด
ก็กำลังไปใช้ชีวิตอยู่กับเศรษฐีผู้ร่ำรวย


ริวโนะสเกะ นักเขียนหนุ่มผู้มีความฝันอันงดงาม
ผู้กินอุดมคติ...
...ตกอับ...ยากไร้...สาวงามอันเป็นที่รัก ไปแต่งงานกับคนรวย
แมร่ง....ทำไมมันคล้ายกรูนักว่ะ(นึกในใจ)
นึกถึงตนเอง ย้อนกลับไปเมื่อ 10 ปีที่แล้ว
หญิงสาวในอุดมคติ มีความฝันและทำทุกอย่างเหมือนกัน
เธอเป็นคนเก่ง ยึดมั่นในอุดมการณ์ เป็นเภสัชกรสาวที่ดี
ส่วนเรา คล้ายริวโนะสุเกะทุกอย่าง เร่ร่อน ทำงานอย่างที่ตนเองรัก
ยึดมั่นอุดมคติ ทำในสิ่งที่ฝันตลอดมา
และ ตกอับ...จน...ไม่มีอาชีพที่มั่นคง...
ไม่มีตำแหน่งทางสังคมที่เชิดหน้าชูตา
แล้วเธอก็ไปแต่งงานกับหนุ่มวิศวะ ผู้ร่ำรวย มีบริษัทของตนเอง
ให้ความมั่นคงกับชีวิตของเธอได้
เธอไม่ผิดหรอก ผิดที่เราเป็นอย่างที่เป็น


กว่าจะทำใจให้หายเจ็บกับเธอคนนั้นได้ ใช้เวลากว่า 7 ปี
7 ปี ที่แทบจะไม่มีวันใดเลยที่เราไม่คิดถึงเธอ
และเธอ...ผู้ทำให้ผมไม่กล้าจะรักใครอีกเลย
เจียมเนื้อ เจียมตัว เก็บความรู้สึกทุกอย่าง ไม่พูดออกมา
สิ่งที่ทำได้ก็คือความหว่งใยกับหญิงสาวที่เผอิญเรารู้สึกดีๆด้วย
...ก็แค่นั้น
เพราะรู้ตัวดี...
กลัวเจ็บ..


น้ำตาทะลักออกมา เหมือนทำนบเขื่อนแตก...
สารภาพตามตรงแบบไม่อายใคร...ร้องไห้จริงๆ
เพราะ 2-3 วลีสุดท้าย ที่ริวโนะสุเกะพูดออกมาอย่างไม่อาย
2-3 วลีสุดท้ายที่พูดกับฮิโรมิ นางรำ หญิงอันเป็นที่ตนรัก
จะอายไปทำไมละ เพราะชายหนุ่มสูญสิ้นทุกอย่างแล้วนี่
2-3 วลีสุดท้าย คือ ความในใจทั้งหมดที่ผมเก็บงำไว้ตลอดเวลาที่ผ่านมาของชีวิต
ไม่กล้าแม้แต่จะบอกกับใคร

ต่างก็ตรงที่ริวโนะสุเกะ ได้หญิงสาวกลับมา
เพราะเธอก็รักเขาอย่างแท้จริง
เป็นรักแท้ ที่น่าชื่นชม รักแท้เช่นนี้มีจริงเหรอ

ตอนจบของหนังนั้น
เป็นภาพพระอาทิตย์ตกที่สวยงามมาก
จะไม่สวยงามได้อย่างไร...
ก็ในเมื่อเราได้ยืนดูพระอาทิตย์ตกสีเปลือกมังคุดสุก
ร่วมกับหญิงสาวที่ตนเองรัก
รักแท้เช่นนี้มีจริงเหรอ


ฝันแห่งรักแท้ในอุดมคติของหนุ่มสาวนั้น
หาเป็นจริงไม่ในโลกของความเป็นจริง
เรารับรู้ได้ว่าเป็นเรื่องเพ้อฝัน


ทว่าสำหรับผมนั้น ก็ยังยืนยันเฉกเช่นเดิมว่า
...ทุกโมงยาม ผมฝันถึงรักของหนุ่มสาวในอุดมคติ
รักเพื่อเกื้อกูลย์ เพื่อเป็นเพื่อน เสริมกันและกัน
แม้ไม่มีจริงในโลกใบนี้
แต่ผมก็ฝันเช่นนั้น...:)

วันเสาร์ที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2551

ลีลา


ช่วงเวลาที่มารรู้ว่า เจ้าชายสิทธัตถะจะหลุดจากกิเลสทั้งปวงนั้น
จอมมารได้ทิ้งไพ่ใบสุดท้าย ที่จะยื้อไว้ให้ได้
นั่นคือ การส่งธิดามารแสนสวยทั้ง 3 นาง ไปยั่วยวนเจ้าชายหนุ่มให้ลุ่มหลง
ทว่าการกลับเป็นเช่นนั้นไม่ ธิดามารอันได้แก่ กาม ตัณหา ราคะ ไม่สามารถกรีดกรายได้อย่างใจหวัง
ท้ายที่สุดพระพุทธองค์ ทรงบรรลุซึ่งโพธิญาณ ตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง
ชีวิตก็เป็นเช่นนี้...
20 วันของการเข้าเงียบดูตนเอง นับว่านานมากที่สุดเท่าที่เคยทำมา
รับรู้ เรียนรู้ สังเกต อย่างเข้าในสรพพสิ่งอย่างไม่คาดหวัง
รับรู้อย่างไม่ผลักไสกับทุกเรื่องราวที่แย้มกรายเข้ามาอย่างคนแปลกหน้า
ทักทายและเดินจากไป
บางครั้งก็จู่โจมเข้ามาทักทายอย่างไม่ให้ทันตั้งตัว
ทำเอาแทบพลิกค่ำขมำหงาย สำลักและสะอึกเป็นระลอก
ทว่า...สิ่งที่ทำคือรับรู้อย่างเปิดเผย
ยอมรับทุกสภาพอย่างไม่คาดหวัง
ยอมรับในตัวตนที่แท้จริงของเรา
3-4 วันแรกของการเข้าเงียบ
ธิดามารเข้ามาจู่โจมตั้งแต่วันแรกอย่างไม่คาดฝัน
ร่ายรำด้วยลีลาอันอ่อนหวาน สลับยั่วนให้แทบจะคลั่ง
ทวีความดุเดือดเร่าร้อนขึ้นทุกวัน
โมงยามที่ผ่านเข้ามา ทั้งอึดอัด รุ่มร้อน ดั่งไฟสุม
แต่ก็นั่นแล..
นี่คือ ลีลา คือชีวิต
คือ ตัวตนของข้าพเจ้า
วันเวลาถัดจากนั้นมา..
เมื่อความหยาบของชีวิตเริ่มหลุดลอยออกไป
จิตเริ่มสงบลง ความละเอียดอ่อนของชีวิต
จิตที่แท้จริง ที่อยู่ลึกเริ่มฉายฉานเข้ามา
รับรู้ว่า ชีวิตคืออะไร สุขที่แท้คือเช่นไร
ใครคือคนที่เราควรห่วงใยและให้รักแท้อย่างแท้จริง
คือแม่..รอยยิ้มของแม่ ผุดพรายอยู่ในสติระลึกรู้
หยาดน้ำไหลออกมาอาบแก้มเป็นไรชื้น
ความสงบและสุข ทำให้จิตระลึกรู้อยู่ตลอด
แม้ว่าผู้คนที่เข้าร่วมมีมาก
ทว่า ด้วยจิตที่เงียบสงบ
ทำให้ดั่งกับเราสงบนิ่งอยู่คนเดียวในโลกใบนี้
แม้ว่าความสับสนจะอยู่รอบกายเราก็ตามที
เงียบสงบจริงหนอ
กาลเวลาล่วงเข้ามาเนิ่นนาน..
แปลกจัง คนที่ไม่คิดว่าจะคิดถึงในโมงยามเช่นนี้
และไม่เคยโผล่ในมโนสำนึกในช่วงแรกของการเข้าเงียบ
กลับผุดพรายออกมาในช่วง 5 วันหลัง
อันใดหนอถึงได้ชำแรกเงียบลึกได้นานขนาดนี้
จิตหยาบนั้นจะหลุดลอยเป็นมโนภาพ ให้เราได้เห็นในวันแรกๆ
เมือความหยาบหมดไปเรื่อยๆ ความละเอียดอ่อนเริ่มปรากฏ
ความสงบและการตระหนักถึงการปล่อยวางสรรพสิ่งทางโลก
จะเผยความงดงามในชีวิตให้กับเรา
เธอ เช่นกัน
คนที่ไม่คาดฝัน
ก็ผุดพรายเข้ามาในชีวิตและมโนคติ..
นี่คือ ลีลา
นี่คือ ชีวิต
นี่คือ ตัวตน

ดวงจันทร์ในหยดน้ำค้าง

การรู้แจ้งของมนุษย์
เปรียบได้กับภาพสะท้อน
ของดวงจันทร์บนผิวน้ำ
ดวงจันทร์นั้นไม่เปียก
และผิวน้ำก็ไม่แยกจากกัน
แม้ดวงจันทร์จะทอแสง
คลุมพื้นที่กว้างใหญ่ไพศาล
แต่ดวงจันทร์ก็ยังคงแน่นิ่ง
อยู่ในห้วงน้ำอันน้อยนิด
ท้องฟ้านภากว้าง
มาสงบแน่นิ่ง
อยู่ในหยดน้ำค้าง
บนใบหญ้า
เพียงหยดเดียว
โดเง็น (ค.ศ. ๑๒๐๐-๑๒๕๓)
สุวินัย ภรณวลัย แปล

วันศุกร์ที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2551

วันเวลาที่เหลืออยู่



ผมเคยตั้งคำถามกับตัวเองว่า
ที่ผ่านมาใยเส้นใยแงชีวิตนั้น มักผันแปรตลอดเวลา
ใยโมงยามของจังหวะชีวิต มักตกต่ำ แลขึ้นลง อย่างไม่คาดฝัน
ใยละครของโลกใบนี้ ถึงเร่งเร้าให้เราโลดแล่นในบทบาทที่เราไม่พร้อมที่จะแสดง

เวลาของชีวิตเป็นเช่นไรหนอ...
ชีวิตนี้.. เราขีดเส้นเองหรือ...
ชีวิตนี้.. ถูกกำหนดด้วยตัวตนของใครกันแน่
แล้วเรามีตัวตนไว้เพื่ออะไร...

หลายครั้งที่ผมมักเฝ้าเพียรถามตนเอง ด้วยการผ่านบทสนทนากับดวงดาว
ดาวบนฟากฟ้าไม่ได้บอกให้เรา รู้สึกว่าเราเป็นเพียงตัวน้อยนิดอันแสนไร้ค่าของจักรวาลหรอกนะ
แต่ดวงดาวยามราตรี มักจะบอกผมเสมอว่า
ชีวิตคนเรานั้นก็เหมือนเกล็ดดาวยามราตรีกาลนั่นแหละ
การรวมกันในความมืดมิดอ้างว้าง...ย่อมส่องสกาวไล่ความเงียบเหงา
แล้วคลี่คลายสู่ความสดชื่นได้..
ดวงดาวเพียงดวงเดียว ก็มีคุณค่า หากเราให้ความสำคัญกับตนเอง
ผมไม่รู้ว่า...โมงยามของชีวิตที่ผ่านมา จังหวะชีวิตได้เล่นตลกอะไรกับผมไว้บ้าง
ทว่าสิ่งหนึ่งที่ตระหนักรู้คือ
ห้วงยามของชีวิตที่แปรผันนั้น อย่างน้อยก็สอนให้เราตระหนักรู้ว่า...
ชีวิตเรา แม้จะดำรงอยู่อย่างรู้เท่าทันก็ตาม
ทว่าอีกด้านหนึ่งที่เป็นเงามืดของมัน
ก็เป็นมายาที่พร่าลวงให้เราหลงระเริง และเพลี่ยงพล้ำได้เช่นกัน

วันพุธที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2551

อาภรณ์แห่งรัก...


......ฉันฟื้นขึ้นมาด้วยอาภรณ์แห่งรักหลังหลับไหลอย่างยาวนาน
ด้วยท่ามกลางบทบรรเลงอันอ่อนหวาน
ละเมออยู่ในห้วงฝันอันดื่มด่ำแลพร่ำเพ้อถึงรสจุมพิตอันอ่อนโยน
......ลีลาแห่งรักย่างกรายแผ่วเบายิ่งกว่าลมหนาว
ทว่าเร้นลับกว่ามนตราที่คลี่ห่มมวลบุปผา
เจ้าลวงฉันให้ชะล่าใจในสัมพันธ์สามัญ
ซึ่งพลันอบอุ่นจู่โจมใจ……… ดุจแสงแห่งตะวันฉายฉานยามสายหมอกสลาย
.......เธอรับรู้หรือไม่ว่า
เหล่านี้เป็นความลับดุจเดียวกับสายธารเรียกร้องดินแดนอันพิสุทธิ์งดงามเ
พื่อซอนเซาะสู่ท้องทะเลน้ำเงินคราม
โมงยามของห้วงถวังค์ฝันและมีชีวิตอยู่ในห้วงรักนั้นสั่นสะท้าน
การสัมผัสมือเพียงครั้ง หรือเอ่ยชื่ออย่างแผ่วเบานั้น
ดั่งมนต์สะกดให้น้ำตาฉันไหลรินได้
รักเอย......
เธอเปรียบดั่งนกน้อยในพุ่มไม้
ส่งเสียงหวานลวงฉันให้สำเนียกว่ารู้จัก
แต่แล้วเสียงนั้นกลับแปรเปลี่ยน
มวลวิหคช่างมากมายเกินคณานับ
ทำดวงตาฉันฉงนฉงาย
ทำดวงใจฉันหวาดไหว....ร้าวราน
รักเอย....
เธอคล้ายดั่งเสียงคร่ำครวญของหริ่งเรไรแห่งราตรีที่ม่านฟ้าไร้ดาว
หวลให้อาวรณ์เหลือจะกล่าว.........
กระนั้นกลับมิได้หยุดยั้งบทบรรเลงโศลกแห่งตน
เพียงแผ่วจางลงยามดาราแปรเปลี่ยนเป็นฝ้าจาง
และยังประดุจดั่งน้ำค้างบริสุทธิ์.....
ซึ่งหยาดหยดลงยังดวงตาของดอกไม้
ทำให้ฉันฟื้นจากภวังค์และถูกสะกดด้วยมนตรา
ในความเยือกเย็นเงียบสงบแห่งรุ่งอรุณ
รักเอย.......
อันใดหนอจึงมิใช่เพียงฉันและเธอ
หัวใจโดดเดี่ยวและเหงาในห้วงอารมณ์
ใยจึงเรียกร้องใครสักคน
คะนึงใฝ่หาแต่เธอ
ฉันเฝ้าตั้งคำถามสอบสวนตนเองเพียงลำพัง
ในรักนั้น มีหลากหลายลีลาที่ร่ายรำ ขอให้เธอรับรู้ว่าฉันห่วงใย
อยากเห็นเธอเข้มแข็งนะคนดี เข้มแข็งนะจ้ะ

วันจันทร์ที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2551

สายน้ำแห่งกาลเวลา....



ห้วงยามใดที่สามารถสรรหาเวลาให้กับตนเองได้ฉันมักแอบปลีกเร้นกายไปนั่งเหม่อมองสายน้ำเจ้าพระยาเพียงลำพังที่ธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ ไม่ว่าจะอยู่ในห้วงภวังค์ของอารมณ์ที่ดำดิ่งซ่อนลึก เงียบงันเพียงใดก็ตาม ฉันก็ยังมีสายน้ำ....เป็นมิตรที่แสนดี มิตรที่คอยสดับตรับฟังเรื่องราวของฉัน อย่างใส่ใจในเนื้อหา
เช่นกัน....กับสายน้ำ เธอมีเรื่องราวที่ผ่านพบมามากมาย บอกกล่าวฉันอย่างเก่าก่อนทุกคราไป เราสองแย่งกันแลกเปลี่ยน เล่าขานเรื่องราวกันย่างสนุกสนาน
แต่วันนี้ฉันพกพาบางอย่างมาหาสายน้ำ"วันนี้ เธอเป็นอะไร" สายน้ำถามฉัน"ฉันเหนื่อยเหลือเกินกับเรื่องราวอันหลากหลายของผู้คนรอบข้าง ทุกอย่างประดังเข้ามาดั่งระรอกคลื่อน ฉันอยากหลับสักตื่น ในอ้อมกอดอันอบอุ่นของราตรีกาล"
มาหาฉันสิ...ในอ้อมกอดฉันนั้น ไออุ่นอวลด้วยความรัก อาทร และความฉ่ำเย็นคลายความอ่อนล้าให้เธอได้ เคลื่อนกายอันบอบบางของเธอมาหาฉันสิ"
ฉันดำดิ่ง ละล่องกลืนหายไปในสายน้ำที่หอมกรุ่นแลอ่อนนุ่มสายน้ำได้ชักนำฉัน เดินทางไปยังสถานที่ต่างๆ ทั้งจุดเริ่มต้น เป้าหมาย และปลายทางเสียงสะท้อนอย่างอ่อนโยนของเธอ....ต้องโสตฉันว่า
"ชีวิต...คล้ายดั่งการเดินทางของสายน้ำแห่งการเวลาเมื่อยามใดที่ตัดสินใจที่จะเดินทางแล้ว ก็ไม่สามารถย้อนกลับทางเดิมเช่นเก่าก่อนได้ ทุกอย่างที่เราย่างกรายผ่านไปได้กลายเป็นเถ้าถ่านที่ซุกซ่อนอยู่ในซอกหลืบของความทรงจำ ที่คละเคล้ากันไปทั้งรอยยิ้ม-คราบน้ำตา ทั้งเสียงหัวเราะอย่างเริงร่า-ร้องไห้อย่างร้าวราน เสียใจ-ดีใจ
ชีวิตดำเนินไปดั่งตัวโน้ตในบทเพลงที่เริ่มต้นอาจจะขึ้นต้นที่ท่วงทำนองอ่อนหวาน ลีลาอันอ่อนช้อย ทว่าสุดท้ายจบลงอย่างใดเล่า.....ใครเลยจะทราบได้ท่วงทำนองของบทเพลงมีทั้งสุขและทุกข์ "หากเรารู้ไม่เท่าทันในลีลาของตัวโน้ตบทเพลงของชีวิตเราก็จบลงอย่างเศร้าสร้อย"
"ชีวิตคนเรา....เดินทางเช่นเดียวกับสายน้ำที่ต้องพานพบเรื่องราวต่างๆมากมาย เราพบกันเพื่อพราก เพื่อไปพบสิ่งใหม่ในทุกโมงยามของชีวิตที่เรามิอาจคาดเดาได้ว่า...คือสิ่งใดกันทุกเสี้ยวจังหวะชีวิต เราควรดำเนินไปอย่างเบิกบานเก็บเกี่ยวทุกอย่าง อย่างมีคุณค่าและอย่างงดงาม ทุกอย่างที่พานพบเป็นครูสอนเราให้ตระหนักถึงความจริงอย่างเท่าทัน
เป็นไปได้ที่บ่อยครั้ง เราอาจจะสะดุดกับเรื่องราวบางเรื่องที่เข้ามาอย่างเจ็บปวดแต่ก็นั่นแหละจ้ะ เหล่านั้นคล้ายดั่งเกลียวคลื่นเริงระบำต้องพยับแดดในยามเย็นที่สร้างความงดงาม ความอ่อนไหว...อ่อนโยน และการมองโลกอย่างเท่าทัน เป็นการประทานของขวัญอย่างล้ำค่าแด่ชีวิต"
สายน้ำยังได้พาฉันเดินทางต่อไป ผ่านห้วงกาลเวลาและในรอยต่อของสรรพสิ่ง ให้ฉันได้เห็นคุณค่า ความงดงามของชีวิตต่อไป
ห้วงยามใดที่ฉันมีเวลาว่าง
ฉันมักพบตัวเองปลีกวิเวกเพียงลำพังด้วยรอยยิ้มสีจางๆอยู่กับสายน้ำแห่งกาลเวลา

ความงาม


หลายชั่วอึดใจทีเดียว กว่าจะตัดสินใจกดหมายเลขเพื่อโทรไปหามี่ได้
"พี่เล็กอยู่ไหน ค่ะ" คือ เสียงตอบรับที่ตามมาก่อนที่ผมจะบอกพื้นที่ของตนเองที่ยืนอยู่ จริงๆแล้ว ก่อนหน้านี้ ผมไม่ค่อยจะเข้าใจตนเองมากนักว่า
ทำไมผมต้องเร่งรีบขึ้นมาจากปักษ์ใต้เพื่อมาดูสาวน้อยนางนี้ แสดงการร่ายรำในงาน International Dance Festival 2008
ท้ายสุด ผมก็พบตัวเองมายืนอยู่ในงานนี้จนได้
โมงยามคล้ายดั่งหยุดนิ่ง...
อาจเป็นเพราะผมไม่เคยเห็นมี่และทีมงานร่ายรำมาก่อนก็เป็นได้
อาจเป็นช่วงเวลาสั้นของการแสดง แต่ก็สะกดดั่งมนต์ขลังให้ดำดิ่ง
ฟื้นจากภวังค์อีกครา ยามเมื่อการร่ายรำได้อำลา ตามมาด้วยเสียงปรบมืออย่างชื่นชม
ผมพบว่า...ได้มองสาวน้อยนางนี้ แปลกไปจากเดิมที่เคยเป็น
หญิงสาวที่เจอที่ INEB นั้น เป็นภาพลักษณ์ที่แข็งแกร่ง เปี่ยมด้วยความเชื่อมั่นในความเป็นตัวตนสูง ออกห้าวและแก่นๆเล็กน้อย
แต่ยามนี้ กาลกลับไม่ใช่เช่นนั้น มุมมองที่เห็นและเป็นอยู่ได้แตกต่างไปจากเดิม
ภาพที่เธอเดินเข้ามาหาผม...ด้วยชุดเดิมบนเวที
กลับเป็นหญิงสาวที่ยิ้มได้อย่างอ่อนหวาน เป็นประกาย งดงาม อย่างที่ผมหลงลืมที่จะสังเกตมาก่อน
เป็นหญิงสาวที่มีใจด้านในที่ดีพอควร ถึงสามารถแสดงการร่ายรำได้งดงามเยี่ยงนี้
ผมยังจำอาการเขินๆ และประหม่า ยามที่นั่งคุยอยู่กับเธอได้
นึกแล้วยังขำตัวเอง
ชีวิตก็เยี่ยงนี้แหละ...
ความงดงามมีให้เห็นและดำรงอยู่ทุกซอกหลืบสถาน
ไม่เว้นแม้แต่พื้นที่เปลี่ยวร้างของจิตใจ
ขอบคุณสำหรับความงดงามที่ได้พบเจอ
เอ่อ...แต่ภาพที่เอามาลงไม่เกี่ยวข้องกับงานนะครับ
เพียงแต่เป็นการแสดงที่อื่นของมี่

วันอาทิตย์ที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2551

Engaged Buddhism


In fact, engaged Buddihsm is just Buddhism.
The word 'engaged' is to draw people's attention to the fact that Buddihsm should be practised not only in the monasteries but also in the world.

In Vietnam we use that word a lot, because we live in a situation of war where people suffer.
If you meditate in a temple and you hear bombs falling and know that innocent people are being killed, you cannot just stay within the compound of the temple because to meditate is to be aware of what is going on.

So your meditation takes on a broader meaning in the context of society.
You can bring relief to the wounded and the refugees while you continue the meditation that you started in the meditation hall.

You can practise mindful breathing, mindful walking, mindful helping, and still remain yourself while doing the job that compasion needs you to do and that is how and why engaged Buddhism was born.

Being and Interbeing
Thich Nhat Hanh

วันอังคารที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2551

SHE IS OUR DEAREST...

A flower budding on the earth
Loved by father and mother
When the wind roars love warms up
And the shelter the flower from the depth of darkness
Flowers yet to blossom need more care
Give them a land in which to grow
And hand in hand heart to heart
We stand together
For she is our dearest!

วันพุธที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2551

A Human Approach to World Peace


When we rise in the morning and listen to the radio or read the newspaper, we are confronted with the same sad news: violence, crime, wars, and disasters. I cannot recall a single day without a report of something terrible happening somewhere. Even in these modern times it is clear that one's precious life is not safe. No former generation has had to experience so much bad news as we face today; this constant awareness of fear and tension should make any sensitive and compassionate person question seriously the progress of our modern world.

It is ironic that the more serious problems emanate from the more industrially advanced societies. Science and technology have worked wonders in many fields, but the basic human problems remain. There is unprecedented literacy, yet this universal education does not seem to have fostered goodness, but only mental restlessness and discontent instead. There is no doubt about the increase in our material progress and technology, but somehow this is not sufficient as we have not yet succeeded in bringing about peace and happiness or in overcoming suffering.

We can only conclude that there must be something seriously wrong with our progress and development, and if we do not check it in time there could be disastrous consequences for the future of humanity. I am not at all against science and technology - they have contributed immensely to the overall experience of humankind; to our material comfort and well-being and to our greater understanding of the world we live in. But if we give too much emphasis to science and technology we are in danger of losing touch with those aspects of human knowledge and understanding that aspire towards honesty and altruism.

Science and technology, though capable of creating immeasurable material comfort, cannot replace the age-old spiritual and humanitarian values that have largely shaped world civilization, in all its national forms, as we know it today. No one can deny the unprecedented material benefit of science and technology, but our basic human problems remain; we are still faced with the same, if not more, suffering, fear, and tension. Thus it is only logical to try to strike a balance between material developments on the one hand and the development of spiritual, human values on the other. In order to bring about this great adjustment, we need to revive our humanitarian values.

I am sure that many people share my concern about the present worldwide moral crisis and will join in my appeal to all humanitarians and religious practitioners who also share this concern to help make our societies more compassionate, just, and equitable. I do not speak as a Buddhist or even as a Tibetan. Nor do I speak as an expert on international politics (though I unavoidably comment on these matters). Rather, I speak simply as a human being, as an upholder of the humanitarian values that are the bedrock not only of Mahayana Buddhism but of all the great world religions. From this perspective I share with you my personal outlook - that:

Universal humanitarianism is essential to solve global problems;
1. Compassion is the pillar of world peace;
2. All world religions are already for world peace in this way, as are all humanitarians of
whatever ideology;
3.Each individual has a universal responsibility to shape institutions to serve human needs.

His Holiness the Dalai Lama

วันอังคารที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2551

PLEASE CALL ME BY MY TRUE NAMES...


บ่อยครั้งของชีวิต ที่ค้นพบตัวเองว่ามักจะถูกตั้งคำถามจากคนรอบข้าง หากความรู้สึกส่วนตัวนั้น ไม่ใคร่ยินยอมจะตอบนัก

เพราะพบว่า... เป็นคำถามพิธีการที่คนถามอาจจะอยากรู้จริงๆ หรือไม่ก็ซักถามตามครรลอง

เรียนที่ไหน ? จบอะไร ?
คุณจะคบผมไหม ถ้าผมจะตอบว่า เรียนรามฯ ครับ เรียนไม่จบด้วย 8 ปี สมัครใหม่ 2 รอบก็ไม่จบ หรือคุณจะคบกับผม หากคำตอบของคำถามออกมาในรูปแบบที่ว่า ผมจบปริญญาโท หลักสูตรนานาชาติ สาขาการจัดการทรัพยากร ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จากมหาวิทยาลัยมหิดล หรือว่าอยากจะเป็นเพื่อนสนิทของผม หากสมมติผมตอบกลับไปว่าผมได้รับทุนเรียนต่อระดับปริญญาเอก ที่มหาวิทยาลัยมหิดล เช่นกัน

คุณค่าแห่งชีวิต ไม่ได้อยู่ที่ว่าจบจากที่ไหน อยู่ที่ว่าเราดำรงตนอยู่อย่างไรในทุกโมงยามของจังหวะชีวิต เรียนเก่งถึงขั้นได้เกียรตินิยมแล้วเป็นไง หากไม่เคยมองเห็นคุณค่าและศักดิ์สรีของความเป็นมนุษย์ของเพื่อนรอบกาย ไม่เคยรับรู้ปัญหาสังคม และทุกข์ของแผ่นดิน

ต้องขอบคุณที่ผมได้เรียนที่มหาวิทยาลัยรามคำแหง เป็นเด็กบ้านนอกจนๆที่ทำงานตั้งแต่ปี 1 เป็นการทำงานที่ตะลอนไปทั่วแทบทุกภูมิภาคของประเทศไทย รับรู้เรื่องราวมากมาย หากตอนนั้นผมเข้าวิศวะที่จุฬาฯได้ละก้อ จบออกมาผมต้องสร้างเขื่อน สร้างโรงไฟฟ้าพลังนิวเคลียร์ โรงไฟฟ้าถ่านหินแหง

ยังจำได้ว่าครั้งหนึ่ง ผมนั่งขายโปสการ์ดและเสื้อผ้าพื้นเมืองริมฟุตบาธยามค่ำคืน กับเพื่อนอีก 2 คน เราต้องเปลี่ยนพื้นที่ไปเรื่อยๆ ทุกวัน เพราะไม่มีพื้นที่ของตนเอง บางพื้นที่ก็ไม่มีคนขาย พอเราจะขายก็ถูกต่อว่าและกีดกัน ผ่านไปอาทิตย์หนึ่ง มีคนรู้จักผ่านมาเจอและด้วยความประหลาดใจก็เผลอทักเสียงดังว่า “อ้าวคุณหมอสวัสดีครับ” เพื่อนผมทั้งสองคนเป็นหมอ เราชอบโปสการ์ดเหมือนกัน เลยตระเวณถ่ายรูปแล้วเอามาจำหน่ายราคาถูก หลังจากนั้นเราจะขายที่ไหน ตรงไหน สะดวกทุกพื้นที่ เพราะเพื่อนเป็นหมอ นี่ถ้าเพื่อนผมเป็นช่างซ่อมรองเท้า จะมีคนให้พื้นที่ขายโปสการ์ดมั้ยเนี่ย

บ้านนี้ เมืองนี้ มีคนเก่ง เยอะแยะไป ผมว่าเยอะมากกว่าประเทศเพื่อนบ้านด้วยซ้ำไป แต่ทำไมถึงมีแต่ความวุ่นวาย แก่งแย่งชิงดีชิงเด่น คอรัปชั่น เห็นแก่ตัว ทำลายและทำร้ายกันและกัน สิ่งที่สังคมไทยต้องการคือ คนที่มีความกล้าหาญทางจริยธรรม ซึ่งเมื่อตระหนักถึงทุกข์ของแผ่นดิน ก็จะออกมาช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ไม่ใช่ดังเช่นปัจจุบันที่วัดคุณค่าของมนุษย์ที่ฐานะและเงินตรา

อัลเบิร์ต ไอสไตน์ เคยกล่าวว่า เหตุที่สังคมเดือดรร้อนไม่ใช่เพราะการกระทำของคนไม่ดี หากแต่เพราะคนดีเมื่อได้รับรู้ถึงความไม่ชอบธรรม หรือความไม่ถูกต้องที่เกิดขึ้นในสังคม ก็ยังนั่งตาปริบๆ ไม่ยอมทำอะไร

อายุเท่าไหร่ ?
จะรู้ไปทำไม รู้แล้วจะทำให้สัมพันธภาพเราเบ่งบานหรือเปล่า ผมสงสัยจัง ไม่ใช่เพราะผมไม่อยากบอกหรอกครับ แต่ในปัจจุบันขณะทุกโมงยามที่เราเป็นอยู่นี้ เซลล์ของร่างกายเราเกิดและดับแทบไม่รู้กี่สิบล้านครั้ง ผมไม่ใช่ผมเมื่อที่พิมพ์บรรทัดแรก เราทั้งหลายเกิด ดับ ทุกโมงยามของชีวิต เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป
ทำงานที่ไหน ทำอะไร? ผมไม่มีงานทำหรอกครับ ตกงาน เร่ร่อนไปเรื่อยๆ หรือจะตอบว่าผมเป็นโจรดีนะ เป็นคนบ้ากามดีมั้ย หากผมตอบด้วยวลีเช่นนี้ คุณค่าผมในสายตาคุณจะลดลงไหม หรือจะคบกับผมหากผมตอบว่า ชีวิตที่ผ่านมาผมทำงานหลากหลายมาก ทั้งบุ๋น และบู๊ หลายครั้งก็เป็นคล้ายเจมส์บอนด์ ไม่เคยจำแนกแยกแยะว่าเป็นงานประเภทไหน โห น่าตื่นเต้นจัง ขอเป็นเพื่อนด้วยคนสิ

นับถือศาสนาอะไร ?
ผมไม่เคยเชื่อและนับถือศาสนาอะไรเลย ศาสนาไม่ใช่ทางออกของชีวิตผม ศาสนามีแต่ทำให้สาวกที่อยู่ต่างศาสนากันต้องทะเลาะเบาะแว้ง นำไปสู่การวิวาท ถึงขั้นเลือดตกยางออกก็มี แม้กระทั่งในศาสนาเดียวกันก็เถิดยังแยกแตกแขนงไปอีกตั้งหลายนิกาย แล้วมากดข่มกันเองว่าใครดีหรือด้อยกว่ากัน
บุคลลที่เป็นทั้งวีรบุรุษและแบบอย่างในการดำเนินชีวิตของผมก็มี พระพุทธเจ้า พระเยซู เจ้าแม่กวนอิม นบีมูหัมหมัด และอีกหลายๆท่าน บุคคลทั้งหลายเหล่านี้ไม่ได้สอนศาสนา ทว่า สัจธรรม (Truth)

พระพุทธองค์ชี้ให้เราเห็นสัจธรรมเพื่อให้เราเกิดปัญญา ในอันที่จะรับรู้ได้ว่าความทุกข์คืออะไร เหตุแห่งทุกข์มาจากไหน และวิธีการดับเสียให้พ้นจากทุกข์นั้นคืออะไร พระองค์สอนสัจธรรมเพื่อประโยชน์แด่มนุษยชาติ เพื่อที่เราจะได้ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน พ้นโลกิยวิสัยเข้าสู่โลกุตรธรรม

พระเยซูและพระโพธิสัตว์อวนกิม มีเมตตามุนษยชาติในรูปแบบที่คล้ายกัน นั่นคือการให้ความรักต่อสรรพชีวิตอย่างเท่าเทียมกัน อย่าฆ่าฟันหรือเบียดเบียนซึ่งกันและกันเลย

จะรู้ไปทำไมว่าผมเป็นใคร มาจากไหน กำลังทำอะไร และจะไปที่ใด? สิ่งซึ่งสำคัญ คือ ปัจจุบันขณะของการดำรงอยู่ระหว่างเรา ที่เราจะได้เปิดใจมาเรียนรู้ร่วมกัน มิใช่อดีตกาลของแต่ละคนที่ได้ผ่านไปแล้ว โอบกอดความรักและความทุกข์อย่างไม่แบ่งแยกร่วมกัน

ดำรงปัจจุบันขณะอย่างเบิกบาน เรียนรู้ร่วมกันที่จะแบ่งปันความรักในหัวใจ ความเมตตา กรุณา ความอาทร ให้กับคนรอบข้าง ต่อสรรพชีวิตบนโลกใบนี้ ด้วยลีลาและการใช้วาจาแห่งรักที่จะได้อยู่อย่างสันติสุข

เรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกัน โดยที่ไม่มีพรมแดนขีดแบ่งระหว่าง ไม่มีแบ่งแยกเชื้อชาติ สีผิว ชนชั้น หรือศาสนาเข้ามากั้นขวาง ไม่มีฉัน ไม่มีเธอ หากเราคือเพื่อนของกันและกัน

ผมไม่นับถือศาสนาอะไรทั้งนั้น