วันเสาร์ที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2551

จะคิดถึงเธอ...


เธอ คนที่ฉันคิดถึงทุกวันวาน
ห้วงยามใดที่ลำแสงแรกแห่งอรุณ สาดส่องแสงกระทบผืนพสุธา
...ฉันจะคิดถึงเธอ...
ห้วงยามใดที่จันทราแห่งราตรีกาล ส่องแสงนวลใยสัมผัสผิวน้ำ
...ฉันจะรักเธอ...
อยากให้เธอรับรู้ไว้ว่า
เพียงสายลมอ่อนไหวรอบกายเธอ
คือ ความอบอุ่น ความคิดถึง
...ที่มีให้เธอเสมอมา...

เธอที่แท้


การจะมองดูพระอาทิตย์ยามสนธยาอย่างแท้จริง
จะต้องไม่มีการเปรียบเทียบ
การที่จะมองดูเธออย่างแท้จริง
ฉันจะต้องไม่นำเธอไปเปรียบเทียบกับคนอื่น

ฉันจะเข้าใจเธอได้ก็ต่อเมื่อ ฉันได้เฝ้ามองดูเธออย่างสิ้นสุดจิตใจ
โดยไม่สรุปเธอด้วยข้อเปรียบเทียบ

เมื่อฉันเอาเธอไปเปรียบเทียบกับคนอื่นๆ เท่ากับว่าฉันไม่ได้เข้าใจเธอ
.......เป็นเพียงการสรุปและการตัดสิน.............
แล้วก็พูดว่าเธอเป็นอย่างนั้นอย่างนี้

ดังนั้น อวิชชาย่อมเข้าครอบงำ เมื่อเกิดการเปรียบเทียบขึ้น
ด้วยการนำเธอไปเปรียบเทียบกับคนอื่น
เท่ากับเป็นการเหยียดหยามต่อศักดิ์ศรีของมนุษย์

แต่เมื่อฉันมองดูเธอโดยปราศจากการเปรียบเทียบ
ความสัมพันธ์ของเราก็จะให้เกิดความเข้าอกเขาใจ

และในความสัมพันธ์ทุกชนิดซึ่งปราศจากการเปรียบเทียบ
ย่อมเต็มไปด้วยความเห็นอกเห็นใจ
ย่อมเต็มเปี่ยมไปด้วยศักดิ์ศรีของมนุษย์...........

จาก...แด่หนุ่มสาว
กฤษณมูรติ เขียน
พจนา จันทรสันติ แปล

วันศุกร์ที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2551

เรียนรู้จิตด้วยใจ 3 "ความงดงามที่ซุกซ่อนอยู่ทุกซอกหลืบของสังคม"

หลังจากสิ้นสุดการฝึกอบรม ผมได้เพื่อนใหม่ๆชาวต่างชาติเพิ่มขึ้นเยอะพอควร อาจเป็นเพราะผมเป็นได้กลายเป็นผู้รับสารจากเขาและส่งสารนั้นต่อไปให้อาจารย์อีกทอดหนึ่งก็เป็นไปได้

ฟาง ฟาง สาวน้อยหน้าตาน่ารัก นิสัยดีมากๆ ชาวสิงคโปร์ เธอเป็นคนหนึ่งที่มีอาการหนักพอควรระหว่างการฝึกอบรม เข้าพบอาจารย์บ่อย มาทราบทีหลังเป็นเพราะคุณเธอเป็นอาจารย์สอนโยคะอยู่ที่สิงคโปร์มานานหลายปี พลังปราณภายในร่างกายที่เธอได้ซึมซับนั้นเป็นแบบปราณายาม อันไปสร้างระบบจักรภายในร่างกายของเธอ เมื่อเธอมาฝึกการนั่งวิปัสสนาอีกแบบหนึ่งซึ่งเป็นระบบปราณที่แตกต่างกันสิ้นเชิง ทำให้พลังปราณทั้ง 2 ขั้วตีกันเองภายในร่างกาย จนร่างกายของเธอสั่นสะท้านและหมุนติ้ว ดีที่ว่าเธอรู้ตัวเสียก่อนจึงรีบมาพบอาจารย์ เพื่อช่วยแก้ไข เมื่อจบหลักสูตรอาจารย์จึงไม่อนุญาตให้เธอปฎิบัติสายนี้ต่ออีกเลย ที่จริงถ้าฟาง ฟาง เข้าใจอาจารย์จะรู้ว่าอาจารย์นั้นเมตตามากนะ เพราะถ้าฝืนให้ฝึกต่ออาจจะเหมือนหนังจีนก็ว่าได้ ประมาณว่า ธาตุไฟเข้าแทรก จนลมปราณแตกซ่าน เมื่อถึงเวลานั้น ก็สุดจะเยียวยาแก้ไขแล้ว

ผมมากินข้างกับฟาง ฟาง ที่สยามพารากอน หลังจากนั้นก็แยกย้ายกันไป และวันนี้ผมกะว่าจะกลับลงปักษ์ใต้เพื่อไปเฝ้าแม่ที่กำลังจะเดินทางไปผ่าตัดที่โรงพยาบาล เลยโทรหาหลานสาวว่าต้องการอะไรบ้าง เดี๋ยวจะซื้อไปให้ หลานฝากซื้อของเยอะแยะไปหมด ส่วนใหญ่จะเป็นประเภทพู่กัน สมุดสอนการวาดรูป สีน้ำ สีอะครีลิก สีน้ำมัน และการใช้ดินสอวาดรูปบุคคล เจ้าหลานสาวคนนี้มีอารมณ์ทางด้านศิลปะมาแต่เกิดแล้วละครับ และด้วยความเสียดายค่าธรรมเนียมหากต้องกดเงินที่บ้าน เลยกดไปเลยเสียหลายหมื่นบาท ประมาณว่าคำนวณแล้วเพียงพอกับค่าผ่าตัดและพักฟื้น

เมื่อจัดการทุกอย่างเรียบร้อย ก็เดินทางด้วย Taxi ไปสายใต้ พอมาถึงก็ล้วงกระเป๋าสะพายจะเอาเงินให้คนขับ ปรากฏว่ากระเป๋าเงินหาย ใจหายวาบ หน้าซีด ....กระเป๋าเงินหาย....แว้บแรกที่เข้ามาในความคิด คือ แม่ เพราะเงินเหล่านั้นเป็นเงินที่ต้องใช้ในการผ่าตัดและรักษาพยาบาล แว้บต่อไปนี่นึกถึงคือ สาวน้อยนางหนึ่งที่เธออยู่โซนแถวๆนั้น เลยรีบโทรไปหาเพราะอาจจะช่วยไปติดต่อประชาสัมพันธ์ที่สยามพารากอนให้ได้ โทรหลายครั้งไม่ติด ไมรู้ทำไงก็ยอมรับสารภาพกับคนขับTaxiอย่างกระดากใจว่าเงินเราหล่นหายไปหรือไม่ก็ถูกล้วงกระเป๋าไปเสียแล้ว ลึกๆก็หวั่นวิตกว่าพี่คนขับรถจะไม่เชื่อ คิดว่าเราจะหลอกนั่งรถพี่เค้าฟรี คนขับคงเห็นหน้าตาผมซีดและแสดงอาการตกใจมากๆ คงจะนึกสงสารผม เพราะเขานิ่งและพูดจาดีกับผม ไม่ด่าทออะไรเลย ไม่เก็บเงิน ผมเลยรีบขอหมายเลขบัญชีและเลขโทรศัพท์ เพื่อว่าวันหน้าเวลามีเงินจะได้โอนไปให้

เรื่องที่เกิดขึ้นได้ทำให้ผมได้เรียนรู้อะไรมากมาย

1. คนขับ taxi คนนี้อารีย์มากๆ ไม่เลยแม้แต่จะแสดงสีหน้าฉุนเฉียว แต่กลับเมตตาและพูดจาอย่างเป็นมิตร พร้อมทั้งเตือนสติผมให้ใจเย็นๆ ค่อยๆหา เราทุกผู้นามอยู่ในสังคมที่หลากหลาย แก่งแย่ง ชิงเด่นกัน น้ำใจไมตรีแทบจะหากันไม่ได้เลย โดยเฉพาะสังคมเมืองหลวงอันเป็นสังคมที่เห็นแก่ตัวอย่างมาก นึกถึงตนเองเป็นหลัก ข้างนอกดูสวยหรู เท่ห์ แต่นึกถึงตนเองเป็นหลักแทบทั้งนั้น การได้เจอคนขับที่เราตกอยู่ในภาวะที่ไม่ทันตั้งตัวอย่างนี้ ทำให้รู้ว่า ความงดงามนั้นยังมีเหลืออยู่ในซอกมุมเปลี่ยวร้างสังคมเมืองหลวง

2. เพื่อนรัก เพื่อนคนนี้ต้องรู้สึกขอบคุณอย่างมาก เพราะที่ผ่านมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน เวลาผมเดือดร้อนทีไร เพื่อนคนนี้ไม่เคยถึงเลย ยื่นมือมาช่วยเหลือตลอด วันนั้นหลังจากที่ลงจาก Taxi ผมมีเงินเหลืออยู่เพียงแค่ 10 บาท รีบโทรไปหาเพื่อนให้มารับ เพื่อนก็บึ่งจากบางบัวทองมาสายใต้แห่งใหม่ มาถึงยังให้เงินใช้อีกต่างหาก ..........ซาบซึ้งมากๆ.............

3. น้องชาย....ผมรีบโทรไปหาน้องชายเพื่อบอกถึงปัญหาที่เกิดขึ้น เจ้าน้องชายก็ดีมากๆไม่ตกใจเลย บอกว่าไม่เป็นไรเดี๋ยวเรื่องค่าใช้จ่ายทั้งหมดเค้าจะรับผิดชอบเอง ผมขอบคุณน้องชายมากๆ อันที่จริงตั้งแต่แรก ผมเป็นคนบอกน้องชายเองว่าจะรับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมด เพราะสามารถไม่เดือดร้อนอะไร อยากให้เค้าเก็บเงินไว้ใช้ รู้สึกเสียใจเหมือนกันนะ ที่ทำให้น้องตัวเองเดือดร้อน เพราะต้องรับภาระทั้งหมดด้วยตนเอง แถมน้องยังโทรมาถามเป็นระยะๆว่ามีเงินมั้ยจะโอนมาให้ ต้องขอบคุณแต่ไม่รับ เอาไว้ดีแลแม่เถิดดีแล้ว

4. ผมโทรไปหาพี่วนิดา บอกเรื่องราวที่เกิดขึ้น พี่เค้าตกใจ เลยจะพยายามรวบรวมเงินจากคนรู้จักที่ไปเข้าศูนย์นั่งวิปัสสนา เพื่อให้ผมเอาไปรักษาแม่ ตอนนั้นรู้สึกตื้นตันใจมากๆ ที่มองไปทางไหนยามที่เราอับจน ก็เจอแต่คนที่อยากจะยื่นมือมาช่วยเราทังนั้น ก็บอกขอบคุณและปฎิเสธไป ไม่อยากให้ใครเดือดร้อน ตอนนี้น้องชายก็รับภาระเรื่องนี้ไปแล้ว

ขอบคุณนะ....
ขอบคุณพี่Taxi ขอบคุณทุกๆคน ที่ได้ยื่นมีเข้ามาทั้งโดยทางตรงและอ้อม
ทำให้ผมได้รับรู้ว่า ในพื้นที่เปลี่ยวร้างของสังคมเมือง ยังมีเมล็ดพันธุ์ของความดีงามงอกเงยอยู่
ทำให้ผมได้รับรู้ว่า...ผมไม่ได้โดดเดี่ยว...บนโลกใบนี้
ยังจำคำของพี่สุภาพร พงพฤกษ์ พี่สาวที่ผมนับถือ และเป็นครูสอนโยคะคนแรก

พี่เค้าเคยบอกผมว่า
"เล็ก เชื่อมั่นในเส้นทางสายจิตวิญญาณ ที่เล็กกำลังเดินอยู่มั้ย
เส้นทางสายนี้แปลกนะ คล้ายดั่งเรากำลังเดินเพียงลำพัง คนเดียว
แต่เมื่อใดที่เราเดือดร้อน หรือพลาดพลั้ง
จะมีกัลยาณมิตรทั้งที่รู้จักและไม่รู้จัก ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือเรา ทุกคราไป"

ผมเชื่อครับพี่สาว
ผมเชื่อมานานแล้ว
เพราะหลายครั้งด้วยกัน ที่ผมประสบกับปรากฏการณ์นี้ด้วยตนเอง

ผมไม่เพียงแค่เชื่อมั่นนะครับพี่
แต่ศรัทธาเส้นทางสายนี้อย่างไม่สั่นคลอน........

วันพฤหัสบดีที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2551

เรียนรู้จิตด้วยใจ 2 "ความทุกข์ของเพื่อนมนุษย์"

จะว่าไปแล้วการเป็นล่ามก็ช่วยให้ผมเรียนรู้จิตของเพื่อนมนุษย์ได้ดีขึ้นมาก
ตระหนักว่าความทุกข์ระทมนั้นไม่มีการแบ่งแยกชาติพันธุ์ ศาสนา และภาษา เวลาทุกคนสุขก็สุขเหมือนกัน เวลาทุกข์ก็ทุกข์เหมือนกัน ไม่มีว่าทุกข์ของชาวพุทธนั้นจะขมขื่นกว่าอิสลาม คริสต์ หรือ ฮินดู ยามสุขนั้นเราก็สุขเหมือนกัน

เช่นกัน เราทั้งผองหมู่มวลมนุษยชาติ ก็อยากที่จะเรียนรู้ว่าทุกข์ที่แท้นั้นคืออะไร และหนทางที่สามารถหลุดพ้นจากทุกข์นั้นควรจะทำอย่างไร

ในแต่ละวันนั้น มีเพื่อนชาวต่างชาติต่างก็ผลัดเปลี่ยนมาให้อาจารย์รับรู้ความทุกข์ของตน และถามถึงวิธีการหลุดพ้นจากทุกข์นั้น บ้างก็มาด้วยความระทมที่แสดงออกมาทางสีหน้า บ้างก็ร้องไห้ บ้างก็แค่อยากมาระบาย คำถามที่ถามออกมาจึงเต็มไปด้วยพลังด้านมืดอันทุกข์ระทน จึงเป็นการยากสำหรับข้าพเจ้าที่จะหลีกเลี่ยงไม่ให้รับผลกระทบจากพลังแห่งทุกข์นั้นๆ

ในแต่ละวันหลังจากเสร็จสิ้นจากการเป็นล่าม บางครั้งข้าพเจ้าต้องนอนระทมด้วยความปวดหัว บ้างก็กลับมากระสับกระส่ายจากเรื่องราวที่ต้องรับรู้ทุกข์ของเพื่อนๆ ผมอัศจรรย์ใจมากว่าทำไมอาจารย์ถึงสามารถนิ่งสงบและมีเมตตาแด่ศิษย์ได้ขนาดนั้น อาจารย์สงบเพียงพอที่สามารถฟังทุกข์จากศิษย์ได้ และให้คำอธิบายกับศิษย์เหล่านั้นอย่างอดทน ที่สำคัญคือ อาจารย์สามารถปล่อยวางกับเรื่องราวแห่งสรรพสิ่งได้อย่างมีอุเบกขา

ยามที่เห็นทุกคนมีทุกข์ ลึกๆผมอยากจะช่วยให้ทุกคนพ้นทุกข์นะ
ผมอยากเปลี่ยนใบหน้าที่เศร้าหมองเหล่านั้น เป็นใบหน้าที่เบิกบาน
ผมอยากให้ทุกคน ทุกผู้นามในโลกใบนี้ พบหนทางแห่งการหลุดพ้นจากความทุกข์
เพื่อพบความสุขที่แท้จริง..........

วันอังคารที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2551

เรียนรู้จิตด้วยใจ 1 "ฉันเป็น Translator นะเฟ้ย"

เมื่อช่วงต้นๆเดือน ได้รับโทรศัพท์มาจากศูนย์สมาธิ ที่ปราจีนบุรี ถามผมว่าช่วงนี้ว่างมั้ย
อยากจะให้ไปเป็นล่าม ช่วยอาจารย์ผู้สอนหน่อย เพราะอาจารย์ท่านนี้ไม่เก่งภาษาปะกิตเอาเสียเลย
และคอร์สครานี้ มีศิษย์ทะลักเข้ามามาก ต่างชาติก็เยอะ

ใจง่าย ครับ...
รับปากเลย อาจจะเป็นไปด้วยหลายเหตุผล อาทิ คิดถึงวันเก่าๆเมื่อก่อนที่เคยไปเป็นล่ามช่วยอาจารย์ แต่ช่วงหลังซาลงไปเยอะมาก เพราะอาจารย์รุ่นใหม่พูดปะกิตซะน้ำไหลไฟดับ ข้าพเจ้าผู้ซึ่งได้แค่ สเนกๆฟิตๆ เลยกระดากใจถอยห่างออกมา เมื่อได้รับการติดต่อเลยตื่นเต้นปนประหม่า

แต่ก็เผลอลืมตัวเหมือนกันนะ... ช่างน่าละอาย ที่ภูมิอกภูมิใจเสียเหลือเกิน
ตอนที่เดินทางไปศูนย์วิปัสสนา ศิษย์เยอะมากๆ จนใจแป่ว เห็นแต่หัวทองๆ ได้แต่ปลอบใจตัวเองว่า เอาฟ่ะ ไม่ใช่ภาษาพ่อ ภาษาแม่ เราพูดไปให้มันเดาตามไป จะได้สนุกสนานกันถ้วนหน้า

ไปถึงก็ได้รับทราบว่า ห้องพักทั้งหมด เต็มครับ woker ทุกคนตนพยายามหาที่นอนกันเองไม่ยกเว้นกระทั่งผม ผู้จัดการมากระซิบบอกผมว่า พี่หาให้เธอได้ดีที่สุดแล้วนะ นั่นคือ ห้องเก็บของ แต่มันรกมากๆ ไม่มีใครทำความสะอาดมานานแล้ว

ทำเอาผม..อึ้ง..
..อึ้ง.. และก็..อึ้ง..

อัตตาเลยตามมา
กูเป็น "ล่าม" นะเฟ้ย
แล้วไม่ได้ตั้งใจจะมาด้วย พวกคุณโทรมาหาด้วยเสียงออดอ้อนเองนะ เพราะหาคนมาไม่ได้ เพื่อนผมที่เป็นล่ามมันไม่ว่าง นี่ผมยอมสละเวลามาช่วยนะ นี่ต้อนรับกันอย่างนี้เลยเหรอ
เก็บไว้ในใจ ไม่ได้พูดออกมาหรอกครับ
แหะ...แหะ... ไม่กล้า

พอไปพบอาจารย์ที่ต้องช่วยแปล ระหว่างที่สนทนาทำความรู้จักกันและกัน ทั้งซักซ้อมความเขาใจช่วงเวลาที่ต้องช่วยแปลเสร็จเรียนร้อยแล้ว อาจารย์ก็เกริ่นออกมาว่า ทราบว่า คอร์สนี้ศิษย์มากๆ ห้องไม่พอสำหรับ worker ข้างล่างบ้านอาจารย์มีห้องว่าง 1 ห้อง ผมเลยเสียบทันทีเพื่อหนีห้องเก็บของ กระหยิ่มใจว่า สบายแล้วงานนี้

ทว่า หาได้กลับเป็นเช่นนั้นไม่...
เมื่อลงไปดู ห้องพักด้านล่างที่อาจารย์บอกนั้น ก็คือ ห้องเก็บของที่ผู้จัดการบอกผมนั่นเอง
เหวอไม่เป็นท่า แต่ก็มีสติกลับมา รู้สึกละอายใจตนเองที่ให้อารมณ์มาครอบงำอยู่ได้ตั้งนาน ทุกสิ่งที่เกดิขึ้นมามีไว้พื่อเรียนรู้ใจและจิตของตน ภาวะที่ร้อนรุ่มนั้นเป็นทุกข์เพราะสิ่งที่หวังไม่ได้ดั่งใจ ไม่ประสบกับสิ่งที่ต้องการ ผมเลยทดลองเรียนรู้ภาวะตรงนั้นว่า จิตจะเคลื่อยกายต่อไปยังไง

ใช้เวลาในการปัดกวาดเช็ดถู อยู่ครู่ใหญ่ เอาที่นอนหมอนมุ้งมาปู ทั้งโต๊ะ เก้าอี้ มุมหนังสือ พรมเช็ดเท้า เพื่อให้ห้องมีสภาพที่น่าอยู่ เหมาะที่จะอาศัยในระยะเวลาอันสั้น เมื่อมีเวลาเหลือ ก็ออกสำรวจบริเวณรอบๆห้อง พบว่าสงบและร่มรื่นย์มาก พื้นอิฐแดงที่ปูเรียงรายออกไปนั้นครึ้มเขียวด้วยมอสฉ่ำน้ำ ส่วนด้านบนหลังคานั้นก็ปกคลุมแทบมิดด้วยร่มเงาไม้ใหญ่ ถัดออกไปด้านหน้าประมาณ 3 เมตร เป็นดงต้นไม้หลากหลายพันธุ์ที่แย่งเบียดกันสูงชะลูด ส่วนด้านซ้ายของกระท่อมก็เป็นหนองน้ำใหญ่ มีกอดอกบัวแซมเป็นพุ่มๆ สวยงามมาก

ใต้ร่มใม้ใหญ่ข้างหนองน้ำ เป็นสถานที่เหมาะให้ผมนั่งพำนักอย่างเงียบๆ สายลมโชยมาอ่อนๆนำกล่นดอกโมกให้โชยหอมละมุน ยามที่สายตาจับจ้องดอกบัวในหนองนั้น จิตเริ่มนิ่งสงบแทบจะรับรู้ได้ถึงความว่างระหว่างความเงียบ

"แปลกนะ" เสียงรำพึงที่ก้องมาจากสำนึกกระทบโสตประสาท เราทุกผู้นามต่างมีหัวโขนที่สวมแตกต่างกันไป มีทั้งที่รู้ตัวและไม่รู้ตัว ทำให้เกิดการแบ่งแยกชนชั้นในสังคม ชนชั้นสูล กลาง ล่าง ทั้งฐานะ หน้าที่การงาม เงิน ทาง ลาภ ยศ สรรเสริญ ทำให้เกิดการโอ้อวด ภูมิใจในความเด่น และเก่งกาจเหนือกว่าคนอื่น เป็นการสร้างอัตลักษณ์และอัตตาในตัวเอง เหล่านี้เป็นจุดเริ่มของการสร้างแปลกแยกและขัดแย้งกันเองของมนุษยชาติในโลกใบนี้

ในโลกแห่งโลกียะ.... หากใช้ชีวิตอย่างไร้สติ มัวเหมาด้วยอวิชชา เราทั้งผองก็จะมีความทุกข์ระทม ผมไม่อาจปฎิเสธตัวเองได้ว่า ยามที่พลั้งเผลอแห่งสัมปะชัญญะ ก็ตกในสังสารวัฎแห่งความทุกข์กับเขาด้วยเหมือนกัน

โลกภายในกายจะสะท้อนออกมาเป็นภาวะการกระทำที่กระทบโดนตรงกับโลกภายนอก ยามที่เราทุกข์ระทม เราจะรู้สึกได้ถึงความเศร้าหมองของโลก ทว่าในช่วงเวลาของสถานที่เดียวกัน เมื่อใดที่เราเบิกบานเ เราจะพบเห็นการเริงระบำของดอกไม้ และเสียงบอกเล่าตำนานจากผูภา

สรพพสิ่งล้นเกิดจากการกำหนดและตระหนักรู้ถึงแห่งภาวะจิตภายในกาย ดั่งเช่นผม ยามที่ขุ่นมัวนั้น มองไม่เห็นถึงความงดงามรอบข้าง จิตเต็มไม่ด้วยอวิชชาแห่งโมหะ ทว่ายามเมฆหมอกของความชั่วร้ายคลี่คลายออกไป พบว่าสถานที่แห่งนั้นเรียบง่ายอย่างงดงาม ทั้งหมดนี้ไม่ใช่เหตุอันเกิดแต่จิตหรอกหรือ

การเรียนรู้ ขัดเกลา ฝึกฝนจิตนั้นเป็นสิ่งสำคัญ เป็นการฝึกถึงการเท่าทันในภาวะตระหนักรู้ยามเมื่อเราต้องเผชิญทุกสิ่งในภาวะที่ไม่คาดคิด ฝึกปล่อยวางจากการคาดหวัง

บทเรียนครั้งนี้ น่าละอายใจตัวเองนัก แต่หากมองอีกมุมหนึ่ง นี่ก็คือครู ที่เข้ามาทดสอบเราเป็นระยะๆ ว่าแท้จริงแล้วภาวะแห่งการะเรียนรู้ถึงการปล่อยวางนั้นเป็นเช่นไร...

........May all being live in peace happiness and harmony.................

วันจันทร์ที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2551

ฟังเสียงหัวใจตนเอง

ตะแรกไม่ได้คิดว่าจะต้องเขียนเรื่องนี้หรอกนะ เพราะมีเรื่องมากมายที่อยากเขียน
อยากเขียนถึงตนเอง เพราะห่างหายไปนาน
แต่ก็เก็บเกี่ยวความทรงจำเอาไว้ เพื่อจะเอามาบันทึกเก็บไว้ในนี้

เหตุเพราะว่า เมื่อคืนได้คุยกับมี่ เรื่องการสดับฟังความรู้สึกด้านใน
รับฟังความรู้สึกของหัวใจตนเองที่สนทนากับเรา มากกว่าสิ่งที่เราคิด
เมื่อจบการสนทนากัน ทำให้ผมมาทบทวนเรื่องราวเหล่านี้ของตนเอง เรารับฟังหัวใจที่สนทนากับเรามานานเพียงใดแล้วหนอ อะไรเป็นแรงดลใจที่ต้องทำเช่นนั้น ครุ่นคิดเพียงลำพังครู่ใหญ่ เงาภาพเลือนรางแต่หนหลัง ก็เริ่มผุดพรายแจ่มชัดขึ้นเรื่อยๆ

อาจจะเป็นเพราะที่ผ่านมาตลอดในห้วงยามของชีวิตตั้งแต่เด็กจนย่างก้าวเข้าสู่รุ่นหนุ่มสาวนั้น ผมสู้และฝ่าฟันด้วยความลำบากมาตลอด ไม่มีอะไรในชีวิตของตนเองที่ได้มาอย่างง่ายดายเหมือนคนอื่น เรื่องราวบางเรื่องบอกกล่าวใครก็ไม่ได้ สิ่งที่ทำได้ก็คืออยู่เพียงลำพัง และเริ่มสนทนากับด้านในของตนเอง

หลายครั้งในชีวิต ที่คนทางบ้านคิดว่าน่าจะเพี้ยน เพราะผมชอบนั่งมองก้อนเมฆ และพระจันทร์ในยามราตรีที่หน้าระเบียงบ้าน อันอวลด้วยกรุ่นกลิ่นของดอกแก้วข้างบ้าน ผมชอบนั่งมอง ทั้งยิ้ม หรือสนทนากับตนเองร่ำไป

แม้กระทั่งบัดนี้ ผมมักจะชอบนั่งเพียงลำพังเป็นประจำ ที่ริมชายขอบของแม่น้ำเจ้าพระยา เสียงสนทนาจากด้านใน แลการโต้ตอบกับสายน้ำนั้นแจ่มชัดในคำตอบ

การสดับเสียงด้านใน เป็นการเยียวยาและให้กำลังใจตนเองเสมอมา เสมอเหมือนว่าเข้มแข็ง แต่อ่อนล้าเต็มที ตอนนั้นไม่เข้าใจว่าอันใดหนอ ชะตากรรมเราถึงเป็นเช่นนี้ เมื่อโมงยามเคลื่อนกายไปบนขอบเขตของกาลเวลา จนถึงปัจจุบันขณะ ผมได้พบว่า แท้จริงแล้ว สิ่งเหล่านั้นไม่ได้เกิดขึ้นมาอย่างบังเอิญ ทว่ามีเหตุผลด้วยตัวของมันเอง รอให้เราคลี่คลายถอดรหัสยนัยด้วยปัญญาญาน หากมีสติเท่าทัน เราจะรับรู้ถึงลีลาชีวิต

แม้กระทั่งตอนที่เรียนราม และได้เข้าไปอยู่ชมรมภูมิศาสตร์ก็ตามเถิด ผมมักทำอะไรตามที่ใจด้านในกระซิบแนะแนวทางมาตลอด
นั่นอาจจะเป็นสิ่งที่ดี แต่อีกด้านหนึ่งก็สร้างความอึดอัดใจให้กับบรรดาเพื่อนรอบข้าง และมองเราในสายตาที่ไม่เข้าใจ และแปลกแยกออกไป ทว่าผมก็อีกนั่นแหละที่ไม่ได้สนใจความรู้สึกของเพื่อนสักเท่าไหร่ เลยยิ่งแปลกแยกกันไปใหญ่ กิจกรรมใดๆที่ทำรวมหมู่ หากเห็นว่าไม่ใช่ในความรู้สึก ผมจะไม่ให้ความร่วมมือเลย อะไรที่ไม่มีใครทำ หากรู้สึกดีก็จะทำไปเลย เพียงลำพัง

ผมเริ่มสนทนาหาคำตอบแบบแสวงหาแนวทางชีวิตให้กบตนเองมากขึ้น จำได้ว่า ตอนนั้นโจทย์หลักขึ้น กูเกิดมาแค่นี้เองเหรอ วงจรประจำวัน คือ กิน ขี้ ปี้ นอน วงจรชีวิต เกิด-เติบโต-เรียนให้จบ-หางานทำ-แต่งงาน-มีเซ็ก-มีลูก-แล้วแก่ตาย

เรียนไปทำไมวะ โลกหน้ามีจริงเหรอ เราเป็นใคร มายาและอุดมคติต่างกันตรงไหน หน้าที่และอุดมการณ์คืออะไร ความฝันและความเป็นจริงบรรจบกันได้มั้ย เรามีฝันมากเกินไปจนเพ้อหรือเปล่า สังคมแห่งอุดมคติที่เราแสวงหานั้นอยู่ที่ไหน อยู่ร่วมกันเพื่อเสริมสร้างด้วยฝันของหนุ่มสาวเป็นไปได้มั้ย

จากนั้นเริ่มค้นหาพื้นที่ยืนของตนเองในโลกใบนี้ ทั้งอ่านหนังสือทางเลือก ทดลองสัจจะกับตนเอง หลายอย่างมากๆที่กระทำ จนจำไม่ได้แล้ว
........มันเยอะ..........
เพื่อนฝูงก็ไม่เข้าใจ.............
จำได้ว่า หนุ่มที่เป็นประธานชมรมภูมิศาสตร์และเป็นเพื่อนสนิทกันมาก ได้รับความไว้วางใจจากเพื่อนฝูงให้มาด่าผมเพียงลำพัง

มันนั่งด่าผม 2ต่อ2 ที่โรงอาหารกว่า 2 ชั่วโมง เกี่ยวกับพฤติกรรมทั้งหมดที่ผมกระทำ จำได้ว่ามันนั่งกินโค้กหมดไป 2 ลิตร คนเดียว เพราะความเหนื่อย แต่ก็แปลกนะที่ให้มันนั่งด่าอยู่ได้นานขนาดนั้น โดยไม่โกรธ ถ้าเป็นคนอื่น ผมคงเตะก้านคอ ชกหน้า ตามประสาหนุ่มใต้เลือดร้อนไปแล้ว ผมบอกหนุ่มไปว่า เข้าใจในสิ่งที่หนุ่มพูดทั้งหมด แต่เพื่อนมันไม่เข้าใจผม ผมยืนยันกับหนุ่มที่จะเดินอยู่บนวิถีนี้เพียงลำพัง แม้จะไม่มีใคร ผมก็เป็นสุข เพราะได้เผยความเป็นตัวเองออกมา ไม่เก็บเอาไว้

รุ่นพี่คนหนึ่งในชมรมที่ผมนับถือมากๆ ถึงขนาดพูดออกมาว่า อย่าไปยุ่งกับมัน ปล่อยให้มันเป็นไปอย่างนั้นแหละ ฉุดกลับมาไม่ได้แล้ว มันอยู่แต่ในความฝัน และโลกส่วนตัวมากเกินไป

ใช่......... ผมอาจจะเป็นอย่างนั้น

...อยู่ในโลกของความฝันและโลกส่วนตัวมากเกินไป
แต่ผมก็อยากจะบอกพี่เหมือนกันนะว่า จวบจนกาลเวลาเคลื่อนมาบรรจบถึงปัจจุบันขณะ
ไม่มีอันใดเลยที่เป็นความฝันอันมากมายของผม แล้วผมยังไม่ได้ทำ ผมได้กระทำทุกอย่างมาหมดแล้วในสิ่งที่ฝัน

มันเป็นมหัศจรรย์แห่งชีวิต เลยนะ...
ถ้าเราได้ทำตามบางอย่างที่เราฝัน มันเพิ่มแรงปราถนา เพิ่มพลัง
สำหรับผมนั้น ไม่ใช่แค่บางอย่าง แต่เป็นทั้งหมดแห่งฝัน ที่ผมได้กระทำ
นี่ไม่ใช่หรือ ที่เรากล้าเผชิญทุกอย่าง ด้วยการเผยความเป็นตัวตนที่แท้จริงของเรา
นี่ไม่ใช่หรือ ด้วยการกล้าเผยตัวตนที่มี เป็นแรงบันดาลใจให้กล้าทำสิ่งที่ฝัน

ผมเชื่อนะว่า หลายคนก็เป็นเช่นนั้น เช่นเดียวกับผม เส้นทางสายนี้ไม่ได้เป็นอย่างที่คิด
ไม่ได้สวยงาม แต่เราเลือกที่จะเดินไม่ใช่เหรอ เราเลือกกันเองนะ และเราก็รู้อยู่แล้วว่า เราจะเจออะไรบนเส้นทางที่ไม่ได้ปูด้วยพรม เราเลือกกันเองไม่ใช่เหรอ

แต่ใช่ว่าจะไม่ถูกสั่นคลอนนะ...ลังเลหวั่นไหวบ้าง
ว่า มีเพื่อนมั้ยเนี่ย... มองไปทางไหน ..มืดสนิท..

แต่ผมก็ได้รับคำตอบกับคำว่า "เพื่อน" เมื่อไปค้นหาความลุ่มลึกของตนเองที่อินเดีย ผมพบเพื่อนมากมายที่มาจากทุกสารทิศของโลก แปลกที่เขาเหล่านั้น อายุไม่ต่างกันมาก และมีคำถามต่อชีวิตด้านในคล้ายๆกัน

..อบอุ่น นะ อบอุ่น..
ที่ข้างกายเรายังมีเพื่อนๆอีกมากมายที่มาค้นหาคำตอบ
และเราก็เป็นกำลังใจให้กันและกัน ก่อนที่จะแยกย้ายกันไป

ถึงแม้เราจะแยกย้ายกันไป แต่เราคือชุมชนเดียวกันที่สามารถอยู่ร่วมกันได้ในชุมชนอุดมคติ ห่างไกลเพียงแค่สถานที่ แต่หัวใจและความรู้สึกนั่นมีร่วมกัน

ตอนนี้ผมไม่ได้ค้นหาความเป็นตัวตนของผมหรอกนะ ที่ดำเนินชีวิตอยู่ทุกปัจจุบันขณะกลับเป็นการทำให้คำตอบด้านในนั้นเกิดการคลี่คลายและแจ่มชัดมากขึ้น คล้ายดั่งเมื่อกลุ่มเมฆทึบสลาย แสงจันทราก็ประกายสกาวทั่วม่านฟ้า

หนุ่ม เพื่อนรัก ที่เคยมานั่งด่าผมเมื่อก่อน วันนี้ เริ่มสนใจและค้นหาคำตอบให้แก่ชีวิตขงตนเองมากขึ้น มาสนทนาพูดคุยเรื่องเหล่านี้มากขึ้น ผมถึงกับอมยิ้มแกมหยอกหนุ่มว่า จำด้เมื่อเมื่ออยู่มหาลัยปี 3 หนุ่มนั่งด่าผม และตอนนั้นเราคุยกันไม่รู้เรื่อง เพราะหนุ่มไม่ได้ใส่ใจเรียนรู้ แต่ตอนนี้เราเริ่มคุยภาษาเดียวกัน ที่เข้าใจมากขึ้น มุมมองต่อชีวิตของหนุ่มก็เปลี่ยนไป มุมมองต่อผมนั้นก็เปลี่ยนไปเช่นกัน

ชีวิตนี้ก็เหมือนผลงานทางศิลปะนั่นแหละ ไม่มีอะไรดีกว่ากัน หรืองดงามกว่ากันหมด ไม่มีอะไรที่บอกว่าอันนี้ชอบ อันนี้ไม่ชอบ อันนี้ผิดหรือถูก อยู่ที่เราเลือกข้างที่ว่าจะอยู่กับสิ่งไหน และเราจะพิพากษากับอีกด้านที่เหลือด้วยอคติ

หากเรามองสิ่งเหล่านั้นด้วยการรับรู้ มิใช่การตัดสิน เราจะได้ประสบการณ์ใหม่ตลอดชีวิต
อย่ากระทำทุกอย่างด้วยความคาดหวัง เพราะมันจะให้ผลลัพธ์เฉพาะเจาะจง
ทว่ากระทำทุกอย่างด้วยแรงปราถนา เพราะนั่นคือเสรีภาพ ที่ไม่ยึดติดในสิ่งใด

หากเราสดับฟังหัวใจตนเอง เสียงสนทนานั้น จะเผยโฉมเพื่อคลี่คลายโจทย์ให้กับเราอย่างสม่ำเสมอ
หากเราปฎิเสธและให้ความใส่ใจกับความคิดของตนเป็นหลัก วันหนึ่งเราจะพบว่า เสียงสนทนาจากด้านใน เริ่มแผ่วเบาลง
...และถูกกลืนหายไปในที่สุด...

วันจันทร์ที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2551

Always รักแท้นั้นมีจริงหรือ



นี่เราทำไมใจสะเงาะสะแงะขนาดนี้เนี่ย...
รู้ตัวอีกทีน้ำตาก็ไหลออกมาอีกแล้ว ก็กระซิบบอกตัวเองแล้วว่า
...ก็แค่หนังเรื่องหนึ่ง


น้องที่ทำหนังสือปาจารยสาร บอกว่า ภาคนี้ทำดีกว่าภาคแรกเยอะมาก
"พี่น่าจะไปดูนะ เพราะพี่ก็ดูภาคแรกมาแล้ว ภาคนี้ละเมียดเรื่องอารมณ์มาก"


หนังเล่นอารมณ์กับคนดูมากๆ
เป็นหนังย้อนยุคที่ทำให้เราหวลรำลึกถึงความงดงาม
ของความรู้สึกเก่าๆที่ขาดหายไป
ผมนั่งขอบตาชื้นตั้งแต่หนังฉายไปไม่เท่าไหร่
"ดีจัง ที่แถวที่เรานั่งอยู่ไม่มีใคร ไม่งั้นอายน่าดู"


แต่ตอนสุดท้ายใกล้จบนี่สิ...โดนเข้าจังๆ
ริวโนะสุเกะ นักเขียนหนุ่มผู้มีความฝันอันงดงาม
แต่ผิดหวังทุกอย่างในชีวิตอย่างสิ้นเชิง
ไม่เคยประสบความสำเร็จอะไรเลย
เด็กน้อย จุนโนะสุเกะ ที่อยู่ด้วยกับตนกำลังจะจากไป
ฮิโรมิ นางรำ หญิงอันเป็นที่รัก เป็นทุกอย่างที่เขามี
หญิงอันเป็นพลังให้เขาได้เขียนเรื่องสั้นเข้าประกวด
ก็กำลังไปใช้ชีวิตอยู่กับเศรษฐีผู้ร่ำรวย


ริวโนะสเกะ นักเขียนหนุ่มผู้มีความฝันอันงดงาม
ผู้กินอุดมคติ...
...ตกอับ...ยากไร้...สาวงามอันเป็นที่รัก ไปแต่งงานกับคนรวย
แมร่ง....ทำไมมันคล้ายกรูนักว่ะ(นึกในใจ)
นึกถึงตนเอง ย้อนกลับไปเมื่อ 10 ปีที่แล้ว
หญิงสาวในอุดมคติ มีความฝันและทำทุกอย่างเหมือนกัน
เธอเป็นคนเก่ง ยึดมั่นในอุดมการณ์ เป็นเภสัชกรสาวที่ดี
ส่วนเรา คล้ายริวโนะสุเกะทุกอย่าง เร่ร่อน ทำงานอย่างที่ตนเองรัก
ยึดมั่นอุดมคติ ทำในสิ่งที่ฝันตลอดมา
และ ตกอับ...จน...ไม่มีอาชีพที่มั่นคง...
ไม่มีตำแหน่งทางสังคมที่เชิดหน้าชูตา
แล้วเธอก็ไปแต่งงานกับหนุ่มวิศวะ ผู้ร่ำรวย มีบริษัทของตนเอง
ให้ความมั่นคงกับชีวิตของเธอได้
เธอไม่ผิดหรอก ผิดที่เราเป็นอย่างที่เป็น


กว่าจะทำใจให้หายเจ็บกับเธอคนนั้นได้ ใช้เวลากว่า 7 ปี
7 ปี ที่แทบจะไม่มีวันใดเลยที่เราไม่คิดถึงเธอ
และเธอ...ผู้ทำให้ผมไม่กล้าจะรักใครอีกเลย
เจียมเนื้อ เจียมตัว เก็บความรู้สึกทุกอย่าง ไม่พูดออกมา
สิ่งที่ทำได้ก็คือความหว่งใยกับหญิงสาวที่เผอิญเรารู้สึกดีๆด้วย
...ก็แค่นั้น
เพราะรู้ตัวดี...
กลัวเจ็บ..


น้ำตาทะลักออกมา เหมือนทำนบเขื่อนแตก...
สารภาพตามตรงแบบไม่อายใคร...ร้องไห้จริงๆ
เพราะ 2-3 วลีสุดท้าย ที่ริวโนะสุเกะพูดออกมาอย่างไม่อาย
2-3 วลีสุดท้ายที่พูดกับฮิโรมิ นางรำ หญิงอันเป็นที่ตนรัก
จะอายไปทำไมละ เพราะชายหนุ่มสูญสิ้นทุกอย่างแล้วนี่
2-3 วลีสุดท้าย คือ ความในใจทั้งหมดที่ผมเก็บงำไว้ตลอดเวลาที่ผ่านมาของชีวิต
ไม่กล้าแม้แต่จะบอกกับใคร

ต่างก็ตรงที่ริวโนะสุเกะ ได้หญิงสาวกลับมา
เพราะเธอก็รักเขาอย่างแท้จริง
เป็นรักแท้ ที่น่าชื่นชม รักแท้เช่นนี้มีจริงเหรอ

ตอนจบของหนังนั้น
เป็นภาพพระอาทิตย์ตกที่สวยงามมาก
จะไม่สวยงามได้อย่างไร...
ก็ในเมื่อเราได้ยืนดูพระอาทิตย์ตกสีเปลือกมังคุดสุก
ร่วมกับหญิงสาวที่ตนเองรัก
รักแท้เช่นนี้มีจริงเหรอ


ฝันแห่งรักแท้ในอุดมคติของหนุ่มสาวนั้น
หาเป็นจริงไม่ในโลกของความเป็นจริง
เรารับรู้ได้ว่าเป็นเรื่องเพ้อฝัน


ทว่าสำหรับผมนั้น ก็ยังยืนยันเฉกเช่นเดิมว่า
...ทุกโมงยาม ผมฝันถึงรักของหนุ่มสาวในอุดมคติ
รักเพื่อเกื้อกูลย์ เพื่อเป็นเพื่อน เสริมกันและกัน
แม้ไม่มีจริงในโลกใบนี้
แต่ผมก็ฝันเช่นนั้น...:)

วันเสาร์ที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2551

ลีลา


ช่วงเวลาที่มารรู้ว่า เจ้าชายสิทธัตถะจะหลุดจากกิเลสทั้งปวงนั้น
จอมมารได้ทิ้งไพ่ใบสุดท้าย ที่จะยื้อไว้ให้ได้
นั่นคือ การส่งธิดามารแสนสวยทั้ง 3 นาง ไปยั่วยวนเจ้าชายหนุ่มให้ลุ่มหลง
ทว่าการกลับเป็นเช่นนั้นไม่ ธิดามารอันได้แก่ กาม ตัณหา ราคะ ไม่สามารถกรีดกรายได้อย่างใจหวัง
ท้ายที่สุดพระพุทธองค์ ทรงบรรลุซึ่งโพธิญาณ ตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง
ชีวิตก็เป็นเช่นนี้...
20 วันของการเข้าเงียบดูตนเอง นับว่านานมากที่สุดเท่าที่เคยทำมา
รับรู้ เรียนรู้ สังเกต อย่างเข้าในสรพพสิ่งอย่างไม่คาดหวัง
รับรู้อย่างไม่ผลักไสกับทุกเรื่องราวที่แย้มกรายเข้ามาอย่างคนแปลกหน้า
ทักทายและเดินจากไป
บางครั้งก็จู่โจมเข้ามาทักทายอย่างไม่ให้ทันตั้งตัว
ทำเอาแทบพลิกค่ำขมำหงาย สำลักและสะอึกเป็นระลอก
ทว่า...สิ่งที่ทำคือรับรู้อย่างเปิดเผย
ยอมรับทุกสภาพอย่างไม่คาดหวัง
ยอมรับในตัวตนที่แท้จริงของเรา
3-4 วันแรกของการเข้าเงียบ
ธิดามารเข้ามาจู่โจมตั้งแต่วันแรกอย่างไม่คาดฝัน
ร่ายรำด้วยลีลาอันอ่อนหวาน สลับยั่วนให้แทบจะคลั่ง
ทวีความดุเดือดเร่าร้อนขึ้นทุกวัน
โมงยามที่ผ่านเข้ามา ทั้งอึดอัด รุ่มร้อน ดั่งไฟสุม
แต่ก็นั่นแล..
นี่คือ ลีลา คือชีวิต
คือ ตัวตนของข้าพเจ้า
วันเวลาถัดจากนั้นมา..
เมื่อความหยาบของชีวิตเริ่มหลุดลอยออกไป
จิตเริ่มสงบลง ความละเอียดอ่อนของชีวิต
จิตที่แท้จริง ที่อยู่ลึกเริ่มฉายฉานเข้ามา
รับรู้ว่า ชีวิตคืออะไร สุขที่แท้คือเช่นไร
ใครคือคนที่เราควรห่วงใยและให้รักแท้อย่างแท้จริง
คือแม่..รอยยิ้มของแม่ ผุดพรายอยู่ในสติระลึกรู้
หยาดน้ำไหลออกมาอาบแก้มเป็นไรชื้น
ความสงบและสุข ทำให้จิตระลึกรู้อยู่ตลอด
แม้ว่าผู้คนที่เข้าร่วมมีมาก
ทว่า ด้วยจิตที่เงียบสงบ
ทำให้ดั่งกับเราสงบนิ่งอยู่คนเดียวในโลกใบนี้
แม้ว่าความสับสนจะอยู่รอบกายเราก็ตามที
เงียบสงบจริงหนอ
กาลเวลาล่วงเข้ามาเนิ่นนาน..
แปลกจัง คนที่ไม่คิดว่าจะคิดถึงในโมงยามเช่นนี้
และไม่เคยโผล่ในมโนสำนึกในช่วงแรกของการเข้าเงียบ
กลับผุดพรายออกมาในช่วง 5 วันหลัง
อันใดหนอถึงได้ชำแรกเงียบลึกได้นานขนาดนี้
จิตหยาบนั้นจะหลุดลอยเป็นมโนภาพ ให้เราได้เห็นในวันแรกๆ
เมือความหยาบหมดไปเรื่อยๆ ความละเอียดอ่อนเริ่มปรากฏ
ความสงบและการตระหนักถึงการปล่อยวางสรรพสิ่งทางโลก
จะเผยความงดงามในชีวิตให้กับเรา
เธอ เช่นกัน
คนที่ไม่คาดฝัน
ก็ผุดพรายเข้ามาในชีวิตและมโนคติ..
นี่คือ ลีลา
นี่คือ ชีวิต
นี่คือ ตัวตน

ดวงจันทร์ในหยดน้ำค้าง

การรู้แจ้งของมนุษย์
เปรียบได้กับภาพสะท้อน
ของดวงจันทร์บนผิวน้ำ
ดวงจันทร์นั้นไม่เปียก
และผิวน้ำก็ไม่แยกจากกัน
แม้ดวงจันทร์จะทอแสง
คลุมพื้นที่กว้างใหญ่ไพศาล
แต่ดวงจันทร์ก็ยังคงแน่นิ่ง
อยู่ในห้วงน้ำอันน้อยนิด
ท้องฟ้านภากว้าง
มาสงบแน่นิ่ง
อยู่ในหยดน้ำค้าง
บนใบหญ้า
เพียงหยดเดียว
โดเง็น (ค.ศ. ๑๒๐๐-๑๒๕๓)
สุวินัย ภรณวลัย แปล