วันจันทร์ที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2551

ฟังเสียงหัวใจตนเอง

ตะแรกไม่ได้คิดว่าจะต้องเขียนเรื่องนี้หรอกนะ เพราะมีเรื่องมากมายที่อยากเขียน
อยากเขียนถึงตนเอง เพราะห่างหายไปนาน
แต่ก็เก็บเกี่ยวความทรงจำเอาไว้ เพื่อจะเอามาบันทึกเก็บไว้ในนี้

เหตุเพราะว่า เมื่อคืนได้คุยกับมี่ เรื่องการสดับฟังความรู้สึกด้านใน
รับฟังความรู้สึกของหัวใจตนเองที่สนทนากับเรา มากกว่าสิ่งที่เราคิด
เมื่อจบการสนทนากัน ทำให้ผมมาทบทวนเรื่องราวเหล่านี้ของตนเอง เรารับฟังหัวใจที่สนทนากับเรามานานเพียงใดแล้วหนอ อะไรเป็นแรงดลใจที่ต้องทำเช่นนั้น ครุ่นคิดเพียงลำพังครู่ใหญ่ เงาภาพเลือนรางแต่หนหลัง ก็เริ่มผุดพรายแจ่มชัดขึ้นเรื่อยๆ

อาจจะเป็นเพราะที่ผ่านมาตลอดในห้วงยามของชีวิตตั้งแต่เด็กจนย่างก้าวเข้าสู่รุ่นหนุ่มสาวนั้น ผมสู้และฝ่าฟันด้วยความลำบากมาตลอด ไม่มีอะไรในชีวิตของตนเองที่ได้มาอย่างง่ายดายเหมือนคนอื่น เรื่องราวบางเรื่องบอกกล่าวใครก็ไม่ได้ สิ่งที่ทำได้ก็คืออยู่เพียงลำพัง และเริ่มสนทนากับด้านในของตนเอง

หลายครั้งในชีวิต ที่คนทางบ้านคิดว่าน่าจะเพี้ยน เพราะผมชอบนั่งมองก้อนเมฆ และพระจันทร์ในยามราตรีที่หน้าระเบียงบ้าน อันอวลด้วยกรุ่นกลิ่นของดอกแก้วข้างบ้าน ผมชอบนั่งมอง ทั้งยิ้ม หรือสนทนากับตนเองร่ำไป

แม้กระทั่งบัดนี้ ผมมักจะชอบนั่งเพียงลำพังเป็นประจำ ที่ริมชายขอบของแม่น้ำเจ้าพระยา เสียงสนทนาจากด้านใน แลการโต้ตอบกับสายน้ำนั้นแจ่มชัดในคำตอบ

การสดับเสียงด้านใน เป็นการเยียวยาและให้กำลังใจตนเองเสมอมา เสมอเหมือนว่าเข้มแข็ง แต่อ่อนล้าเต็มที ตอนนั้นไม่เข้าใจว่าอันใดหนอ ชะตากรรมเราถึงเป็นเช่นนี้ เมื่อโมงยามเคลื่อนกายไปบนขอบเขตของกาลเวลา จนถึงปัจจุบันขณะ ผมได้พบว่า แท้จริงแล้ว สิ่งเหล่านั้นไม่ได้เกิดขึ้นมาอย่างบังเอิญ ทว่ามีเหตุผลด้วยตัวของมันเอง รอให้เราคลี่คลายถอดรหัสยนัยด้วยปัญญาญาน หากมีสติเท่าทัน เราจะรับรู้ถึงลีลาชีวิต

แม้กระทั่งตอนที่เรียนราม และได้เข้าไปอยู่ชมรมภูมิศาสตร์ก็ตามเถิด ผมมักทำอะไรตามที่ใจด้านในกระซิบแนะแนวทางมาตลอด
นั่นอาจจะเป็นสิ่งที่ดี แต่อีกด้านหนึ่งก็สร้างความอึดอัดใจให้กับบรรดาเพื่อนรอบข้าง และมองเราในสายตาที่ไม่เข้าใจ และแปลกแยกออกไป ทว่าผมก็อีกนั่นแหละที่ไม่ได้สนใจความรู้สึกของเพื่อนสักเท่าไหร่ เลยยิ่งแปลกแยกกันไปใหญ่ กิจกรรมใดๆที่ทำรวมหมู่ หากเห็นว่าไม่ใช่ในความรู้สึก ผมจะไม่ให้ความร่วมมือเลย อะไรที่ไม่มีใครทำ หากรู้สึกดีก็จะทำไปเลย เพียงลำพัง

ผมเริ่มสนทนาหาคำตอบแบบแสวงหาแนวทางชีวิตให้กบตนเองมากขึ้น จำได้ว่า ตอนนั้นโจทย์หลักขึ้น กูเกิดมาแค่นี้เองเหรอ วงจรประจำวัน คือ กิน ขี้ ปี้ นอน วงจรชีวิต เกิด-เติบโต-เรียนให้จบ-หางานทำ-แต่งงาน-มีเซ็ก-มีลูก-แล้วแก่ตาย

เรียนไปทำไมวะ โลกหน้ามีจริงเหรอ เราเป็นใคร มายาและอุดมคติต่างกันตรงไหน หน้าที่และอุดมการณ์คืออะไร ความฝันและความเป็นจริงบรรจบกันได้มั้ย เรามีฝันมากเกินไปจนเพ้อหรือเปล่า สังคมแห่งอุดมคติที่เราแสวงหานั้นอยู่ที่ไหน อยู่ร่วมกันเพื่อเสริมสร้างด้วยฝันของหนุ่มสาวเป็นไปได้มั้ย

จากนั้นเริ่มค้นหาพื้นที่ยืนของตนเองในโลกใบนี้ ทั้งอ่านหนังสือทางเลือก ทดลองสัจจะกับตนเอง หลายอย่างมากๆที่กระทำ จนจำไม่ได้แล้ว
........มันเยอะ..........
เพื่อนฝูงก็ไม่เข้าใจ.............
จำได้ว่า หนุ่มที่เป็นประธานชมรมภูมิศาสตร์และเป็นเพื่อนสนิทกันมาก ได้รับความไว้วางใจจากเพื่อนฝูงให้มาด่าผมเพียงลำพัง

มันนั่งด่าผม 2ต่อ2 ที่โรงอาหารกว่า 2 ชั่วโมง เกี่ยวกับพฤติกรรมทั้งหมดที่ผมกระทำ จำได้ว่ามันนั่งกินโค้กหมดไป 2 ลิตร คนเดียว เพราะความเหนื่อย แต่ก็แปลกนะที่ให้มันนั่งด่าอยู่ได้นานขนาดนั้น โดยไม่โกรธ ถ้าเป็นคนอื่น ผมคงเตะก้านคอ ชกหน้า ตามประสาหนุ่มใต้เลือดร้อนไปแล้ว ผมบอกหนุ่มไปว่า เข้าใจในสิ่งที่หนุ่มพูดทั้งหมด แต่เพื่อนมันไม่เข้าใจผม ผมยืนยันกับหนุ่มที่จะเดินอยู่บนวิถีนี้เพียงลำพัง แม้จะไม่มีใคร ผมก็เป็นสุข เพราะได้เผยความเป็นตัวเองออกมา ไม่เก็บเอาไว้

รุ่นพี่คนหนึ่งในชมรมที่ผมนับถือมากๆ ถึงขนาดพูดออกมาว่า อย่าไปยุ่งกับมัน ปล่อยให้มันเป็นไปอย่างนั้นแหละ ฉุดกลับมาไม่ได้แล้ว มันอยู่แต่ในความฝัน และโลกส่วนตัวมากเกินไป

ใช่......... ผมอาจจะเป็นอย่างนั้น

...อยู่ในโลกของความฝันและโลกส่วนตัวมากเกินไป
แต่ผมก็อยากจะบอกพี่เหมือนกันนะว่า จวบจนกาลเวลาเคลื่อนมาบรรจบถึงปัจจุบันขณะ
ไม่มีอันใดเลยที่เป็นความฝันอันมากมายของผม แล้วผมยังไม่ได้ทำ ผมได้กระทำทุกอย่างมาหมดแล้วในสิ่งที่ฝัน

มันเป็นมหัศจรรย์แห่งชีวิต เลยนะ...
ถ้าเราได้ทำตามบางอย่างที่เราฝัน มันเพิ่มแรงปราถนา เพิ่มพลัง
สำหรับผมนั้น ไม่ใช่แค่บางอย่าง แต่เป็นทั้งหมดแห่งฝัน ที่ผมได้กระทำ
นี่ไม่ใช่หรือ ที่เรากล้าเผชิญทุกอย่าง ด้วยการเผยความเป็นตัวตนที่แท้จริงของเรา
นี่ไม่ใช่หรือ ด้วยการกล้าเผยตัวตนที่มี เป็นแรงบันดาลใจให้กล้าทำสิ่งที่ฝัน

ผมเชื่อนะว่า หลายคนก็เป็นเช่นนั้น เช่นเดียวกับผม เส้นทางสายนี้ไม่ได้เป็นอย่างที่คิด
ไม่ได้สวยงาม แต่เราเลือกที่จะเดินไม่ใช่เหรอ เราเลือกกันเองนะ และเราก็รู้อยู่แล้วว่า เราจะเจออะไรบนเส้นทางที่ไม่ได้ปูด้วยพรม เราเลือกกันเองไม่ใช่เหรอ

แต่ใช่ว่าจะไม่ถูกสั่นคลอนนะ...ลังเลหวั่นไหวบ้าง
ว่า มีเพื่อนมั้ยเนี่ย... มองไปทางไหน ..มืดสนิท..

แต่ผมก็ได้รับคำตอบกับคำว่า "เพื่อน" เมื่อไปค้นหาความลุ่มลึกของตนเองที่อินเดีย ผมพบเพื่อนมากมายที่มาจากทุกสารทิศของโลก แปลกที่เขาเหล่านั้น อายุไม่ต่างกันมาก และมีคำถามต่อชีวิตด้านในคล้ายๆกัน

..อบอุ่น นะ อบอุ่น..
ที่ข้างกายเรายังมีเพื่อนๆอีกมากมายที่มาค้นหาคำตอบ
และเราก็เป็นกำลังใจให้กันและกัน ก่อนที่จะแยกย้ายกันไป

ถึงแม้เราจะแยกย้ายกันไป แต่เราคือชุมชนเดียวกันที่สามารถอยู่ร่วมกันได้ในชุมชนอุดมคติ ห่างไกลเพียงแค่สถานที่ แต่หัวใจและความรู้สึกนั่นมีร่วมกัน

ตอนนี้ผมไม่ได้ค้นหาความเป็นตัวตนของผมหรอกนะ ที่ดำเนินชีวิตอยู่ทุกปัจจุบันขณะกลับเป็นการทำให้คำตอบด้านในนั้นเกิดการคลี่คลายและแจ่มชัดมากขึ้น คล้ายดั่งเมื่อกลุ่มเมฆทึบสลาย แสงจันทราก็ประกายสกาวทั่วม่านฟ้า

หนุ่ม เพื่อนรัก ที่เคยมานั่งด่าผมเมื่อก่อน วันนี้ เริ่มสนใจและค้นหาคำตอบให้แก่ชีวิตขงตนเองมากขึ้น มาสนทนาพูดคุยเรื่องเหล่านี้มากขึ้น ผมถึงกับอมยิ้มแกมหยอกหนุ่มว่า จำด้เมื่อเมื่ออยู่มหาลัยปี 3 หนุ่มนั่งด่าผม และตอนนั้นเราคุยกันไม่รู้เรื่อง เพราะหนุ่มไม่ได้ใส่ใจเรียนรู้ แต่ตอนนี้เราเริ่มคุยภาษาเดียวกัน ที่เข้าใจมากขึ้น มุมมองต่อชีวิตของหนุ่มก็เปลี่ยนไป มุมมองต่อผมนั้นก็เปลี่ยนไปเช่นกัน

ชีวิตนี้ก็เหมือนผลงานทางศิลปะนั่นแหละ ไม่มีอะไรดีกว่ากัน หรืองดงามกว่ากันหมด ไม่มีอะไรที่บอกว่าอันนี้ชอบ อันนี้ไม่ชอบ อันนี้ผิดหรือถูก อยู่ที่เราเลือกข้างที่ว่าจะอยู่กับสิ่งไหน และเราจะพิพากษากับอีกด้านที่เหลือด้วยอคติ

หากเรามองสิ่งเหล่านั้นด้วยการรับรู้ มิใช่การตัดสิน เราจะได้ประสบการณ์ใหม่ตลอดชีวิต
อย่ากระทำทุกอย่างด้วยความคาดหวัง เพราะมันจะให้ผลลัพธ์เฉพาะเจาะจง
ทว่ากระทำทุกอย่างด้วยแรงปราถนา เพราะนั่นคือเสรีภาพ ที่ไม่ยึดติดในสิ่งใด

หากเราสดับฟังหัวใจตนเอง เสียงสนทนานั้น จะเผยโฉมเพื่อคลี่คลายโจทย์ให้กับเราอย่างสม่ำเสมอ
หากเราปฎิเสธและให้ความใส่ใจกับความคิดของตนเป็นหลัก วันหนึ่งเราจะพบว่า เสียงสนทนาจากด้านใน เริ่มแผ่วเบาลง
...และถูกกลืนหายไปในที่สุด...

ไม่มีความคิดเห็น: