วันศุกร์ที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2551

เรียนรู้จิตด้วยใจ 3 "ความงดงามที่ซุกซ่อนอยู่ทุกซอกหลืบของสังคม"

หลังจากสิ้นสุดการฝึกอบรม ผมได้เพื่อนใหม่ๆชาวต่างชาติเพิ่มขึ้นเยอะพอควร อาจเป็นเพราะผมเป็นได้กลายเป็นผู้รับสารจากเขาและส่งสารนั้นต่อไปให้อาจารย์อีกทอดหนึ่งก็เป็นไปได้

ฟาง ฟาง สาวน้อยหน้าตาน่ารัก นิสัยดีมากๆ ชาวสิงคโปร์ เธอเป็นคนหนึ่งที่มีอาการหนักพอควรระหว่างการฝึกอบรม เข้าพบอาจารย์บ่อย มาทราบทีหลังเป็นเพราะคุณเธอเป็นอาจารย์สอนโยคะอยู่ที่สิงคโปร์มานานหลายปี พลังปราณภายในร่างกายที่เธอได้ซึมซับนั้นเป็นแบบปราณายาม อันไปสร้างระบบจักรภายในร่างกายของเธอ เมื่อเธอมาฝึกการนั่งวิปัสสนาอีกแบบหนึ่งซึ่งเป็นระบบปราณที่แตกต่างกันสิ้นเชิง ทำให้พลังปราณทั้ง 2 ขั้วตีกันเองภายในร่างกาย จนร่างกายของเธอสั่นสะท้านและหมุนติ้ว ดีที่ว่าเธอรู้ตัวเสียก่อนจึงรีบมาพบอาจารย์ เพื่อช่วยแก้ไข เมื่อจบหลักสูตรอาจารย์จึงไม่อนุญาตให้เธอปฎิบัติสายนี้ต่ออีกเลย ที่จริงถ้าฟาง ฟาง เข้าใจอาจารย์จะรู้ว่าอาจารย์นั้นเมตตามากนะ เพราะถ้าฝืนให้ฝึกต่ออาจจะเหมือนหนังจีนก็ว่าได้ ประมาณว่า ธาตุไฟเข้าแทรก จนลมปราณแตกซ่าน เมื่อถึงเวลานั้น ก็สุดจะเยียวยาแก้ไขแล้ว

ผมมากินข้างกับฟาง ฟาง ที่สยามพารากอน หลังจากนั้นก็แยกย้ายกันไป และวันนี้ผมกะว่าจะกลับลงปักษ์ใต้เพื่อไปเฝ้าแม่ที่กำลังจะเดินทางไปผ่าตัดที่โรงพยาบาล เลยโทรหาหลานสาวว่าต้องการอะไรบ้าง เดี๋ยวจะซื้อไปให้ หลานฝากซื้อของเยอะแยะไปหมด ส่วนใหญ่จะเป็นประเภทพู่กัน สมุดสอนการวาดรูป สีน้ำ สีอะครีลิก สีน้ำมัน และการใช้ดินสอวาดรูปบุคคล เจ้าหลานสาวคนนี้มีอารมณ์ทางด้านศิลปะมาแต่เกิดแล้วละครับ และด้วยความเสียดายค่าธรรมเนียมหากต้องกดเงินที่บ้าน เลยกดไปเลยเสียหลายหมื่นบาท ประมาณว่าคำนวณแล้วเพียงพอกับค่าผ่าตัดและพักฟื้น

เมื่อจัดการทุกอย่างเรียบร้อย ก็เดินทางด้วย Taxi ไปสายใต้ พอมาถึงก็ล้วงกระเป๋าสะพายจะเอาเงินให้คนขับ ปรากฏว่ากระเป๋าเงินหาย ใจหายวาบ หน้าซีด ....กระเป๋าเงินหาย....แว้บแรกที่เข้ามาในความคิด คือ แม่ เพราะเงินเหล่านั้นเป็นเงินที่ต้องใช้ในการผ่าตัดและรักษาพยาบาล แว้บต่อไปนี่นึกถึงคือ สาวน้อยนางหนึ่งที่เธออยู่โซนแถวๆนั้น เลยรีบโทรไปหาเพราะอาจจะช่วยไปติดต่อประชาสัมพันธ์ที่สยามพารากอนให้ได้ โทรหลายครั้งไม่ติด ไมรู้ทำไงก็ยอมรับสารภาพกับคนขับTaxiอย่างกระดากใจว่าเงินเราหล่นหายไปหรือไม่ก็ถูกล้วงกระเป๋าไปเสียแล้ว ลึกๆก็หวั่นวิตกว่าพี่คนขับรถจะไม่เชื่อ คิดว่าเราจะหลอกนั่งรถพี่เค้าฟรี คนขับคงเห็นหน้าตาผมซีดและแสดงอาการตกใจมากๆ คงจะนึกสงสารผม เพราะเขานิ่งและพูดจาดีกับผม ไม่ด่าทออะไรเลย ไม่เก็บเงิน ผมเลยรีบขอหมายเลขบัญชีและเลขโทรศัพท์ เพื่อว่าวันหน้าเวลามีเงินจะได้โอนไปให้

เรื่องที่เกิดขึ้นได้ทำให้ผมได้เรียนรู้อะไรมากมาย

1. คนขับ taxi คนนี้อารีย์มากๆ ไม่เลยแม้แต่จะแสดงสีหน้าฉุนเฉียว แต่กลับเมตตาและพูดจาอย่างเป็นมิตร พร้อมทั้งเตือนสติผมให้ใจเย็นๆ ค่อยๆหา เราทุกผู้นามอยู่ในสังคมที่หลากหลาย แก่งแย่ง ชิงเด่นกัน น้ำใจไมตรีแทบจะหากันไม่ได้เลย โดยเฉพาะสังคมเมืองหลวงอันเป็นสังคมที่เห็นแก่ตัวอย่างมาก นึกถึงตนเองเป็นหลัก ข้างนอกดูสวยหรู เท่ห์ แต่นึกถึงตนเองเป็นหลักแทบทั้งนั้น การได้เจอคนขับที่เราตกอยู่ในภาวะที่ไม่ทันตั้งตัวอย่างนี้ ทำให้รู้ว่า ความงดงามนั้นยังมีเหลืออยู่ในซอกมุมเปลี่ยวร้างสังคมเมืองหลวง

2. เพื่อนรัก เพื่อนคนนี้ต้องรู้สึกขอบคุณอย่างมาก เพราะที่ผ่านมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน เวลาผมเดือดร้อนทีไร เพื่อนคนนี้ไม่เคยถึงเลย ยื่นมือมาช่วยเหลือตลอด วันนั้นหลังจากที่ลงจาก Taxi ผมมีเงินเหลืออยู่เพียงแค่ 10 บาท รีบโทรไปหาเพื่อนให้มารับ เพื่อนก็บึ่งจากบางบัวทองมาสายใต้แห่งใหม่ มาถึงยังให้เงินใช้อีกต่างหาก ..........ซาบซึ้งมากๆ.............

3. น้องชาย....ผมรีบโทรไปหาน้องชายเพื่อบอกถึงปัญหาที่เกิดขึ้น เจ้าน้องชายก็ดีมากๆไม่ตกใจเลย บอกว่าไม่เป็นไรเดี๋ยวเรื่องค่าใช้จ่ายทั้งหมดเค้าจะรับผิดชอบเอง ผมขอบคุณน้องชายมากๆ อันที่จริงตั้งแต่แรก ผมเป็นคนบอกน้องชายเองว่าจะรับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมด เพราะสามารถไม่เดือดร้อนอะไร อยากให้เค้าเก็บเงินไว้ใช้ รู้สึกเสียใจเหมือนกันนะ ที่ทำให้น้องตัวเองเดือดร้อน เพราะต้องรับภาระทั้งหมดด้วยตนเอง แถมน้องยังโทรมาถามเป็นระยะๆว่ามีเงินมั้ยจะโอนมาให้ ต้องขอบคุณแต่ไม่รับ เอาไว้ดีแลแม่เถิดดีแล้ว

4. ผมโทรไปหาพี่วนิดา บอกเรื่องราวที่เกิดขึ้น พี่เค้าตกใจ เลยจะพยายามรวบรวมเงินจากคนรู้จักที่ไปเข้าศูนย์นั่งวิปัสสนา เพื่อให้ผมเอาไปรักษาแม่ ตอนนั้นรู้สึกตื้นตันใจมากๆ ที่มองไปทางไหนยามที่เราอับจน ก็เจอแต่คนที่อยากจะยื่นมือมาช่วยเราทังนั้น ก็บอกขอบคุณและปฎิเสธไป ไม่อยากให้ใครเดือดร้อน ตอนนี้น้องชายก็รับภาระเรื่องนี้ไปแล้ว

ขอบคุณนะ....
ขอบคุณพี่Taxi ขอบคุณทุกๆคน ที่ได้ยื่นมีเข้ามาทั้งโดยทางตรงและอ้อม
ทำให้ผมได้รับรู้ว่า ในพื้นที่เปลี่ยวร้างของสังคมเมือง ยังมีเมล็ดพันธุ์ของความดีงามงอกเงยอยู่
ทำให้ผมได้รับรู้ว่า...ผมไม่ได้โดดเดี่ยว...บนโลกใบนี้
ยังจำคำของพี่สุภาพร พงพฤกษ์ พี่สาวที่ผมนับถือ และเป็นครูสอนโยคะคนแรก

พี่เค้าเคยบอกผมว่า
"เล็ก เชื่อมั่นในเส้นทางสายจิตวิญญาณ ที่เล็กกำลังเดินอยู่มั้ย
เส้นทางสายนี้แปลกนะ คล้ายดั่งเรากำลังเดินเพียงลำพัง คนเดียว
แต่เมื่อใดที่เราเดือดร้อน หรือพลาดพลั้ง
จะมีกัลยาณมิตรทั้งที่รู้จักและไม่รู้จัก ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือเรา ทุกคราไป"

ผมเชื่อครับพี่สาว
ผมเชื่อมานานแล้ว
เพราะหลายครั้งด้วยกัน ที่ผมประสบกับปรากฏการณ์นี้ด้วยตนเอง

ผมไม่เพียงแค่เชื่อมั่นนะครับพี่
แต่ศรัทธาเส้นทางสายนี้อย่างไม่สั่นคลอน........

ไม่มีความคิดเห็น: