วันพุธที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

คนชายขอบ...ศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์


เมื่อยามค่ำคืนของวันสองวันที่ผ่านมา
ขณะที่ผมกำลังเพลิดเพลินกับการเล่นโยคะอยู่เพียงลำพัง
ช่วงนี้อาจจะฟิตการเล่นโยคะมากหน่อย เพราะเดือนหน้ามีคิวต้องไปสอนหลายที่

ก็มีเสียงโทรศัพท์เข้ามา...
อืม.. ไม่อยากจะรับ เพราะสมาธิกำลังนิ่งดีทีเดียวกับท่าอาสนะในแต่ละท่วงท่า
ทว่าเสียงโทรศัพท์ ก็ดังมาเรื่อยๆ ไม่มีทีท่าของการยอมแพ้จากอีกฝ่ายหนึ่ง
ผมเลยยอมเสียเอง ...รับสาย...

เสียงจากฟากหนึ่ง บ่งบอกถึงความกระวนกระวายและร้อนรนอย่างหนัก
"พี่เล็ก พี่เล็ก... ชาวบ้านกะเหรี่ยงที่คลิตี้ถูกจับ..."
"หา..." ผมอุทานด้วยความอึ้ง นึกในใจ อีกแล้วเหรอ

ใจความที่ถูกจับประเด็นได้ ก็คือเรื่องเดิมที่เราพยายามสู้กันมานาน
กะเหรี่ยงคลิตี้อยู่ที่นั่นมานมนานนับร้อยปี แต่ก็มีความพยายามจากป่าไม้ที่จะประกาศอุทยานแห่งชาติลำคลองงู ทับที่ทำกินของชาวบ้าน ซึ่งชาวบ้านไม่ยอม เลยต้องยันกัน ฟากชาวบ้าน ก็มีคนทำงานอนุรักษ์ในจังหวัดกาญจนบุรีมาช่วย จากส่วนกลางก็มีคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ สภาทนายความร่วมด้วยช่วยกัน

เหตุการณ์ครั้งนี้เกิดขึ้น...
เมื่อทางเจ้าหน้าที่ป่าไม้ ต้องการยึดพื้นที่ทำกินชาวบ้าน ด้วยการใช้ยุทธวิธีปลูกป่าทับไปบนพื้นที่ทำกินของชาวบ้าน ซีกชาวบ้านกะเหรี่ยงก็ไม่ยอมอย่างเด็ดขาด เพราะนั่นหมายความถึง ปากท้องและชีวิตของพวกเขา

จะดำรงชีวิตอย่างไรหากไม่มีที่ดินเพื่อทำกินเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง เมื่อกะเหรี่ยงขัดขวางการปลูกป่าของป่าไม้ จึงถูกจับกุมเข้าตะราง และหากต้องการให้มีการปล่อยตัวออกมาก็ต้องหาเงินมาค้ำประกัน 180,000 บาท

แล้วจะหาเงินที่ไหนว่ะเนี่ย
มันกลั่นแกล้งกันชัดๆ
ชาวป่าชาวเขาจะหาเงินขนาดนั้นที่ไหนมาประกันตัวว่ะ
ไอ้เหี้ย...ไอ้ห่า...พวกมึงจะกลั่นแกล้งชาวบ้านไปถึงไหนว่ะ
มึงรีดเลือดปูเลยนะเนี่ย...
...ความเครียดและเบื่อหน่ายสังคมก็เริ่มผุดพรายในจิตใจ

ตื่นเช้ามาก็รีบประสานกับทีมงานทางเมืองกาณจน์ และเดินทางไปพบผู้ใหญ่ท่านหนึ่งที่นับถือของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนเพื่อปรึกษาช่วยเหลือชาวบ้าน จากนั้นก็โทรปรึกษาพี่นักกฏหมายคนหนึ่งซึ่งทำงานที่สภาทนายความว่าจะมีทางออกเรื่องนี้อย่างไร

สิ่งสำคัญที่ผมต้องการปรึกษาคือ เราจะมียุทธวิธีแนวรุกอย่างไรกับทางป่าไม้ เพื่อไม่ให้มีการจับกุมชาวบ้านอีก เราต้องเล่นเชิงรุกแบบเบ็ดเสร็จ ไม่ใช่เอาแต่ตั้งรับ ไม่งั้นเหนื่อยแย่

ระหว่างที่ผมเดินทางไปคณะกรรมการสิทธิฯ ซึ่งตั้งอยู่ย่านใจกลางแหล่งธุรกิจ อันห้อมล้อมด้วย มาบุญครอง สยามเซ็นเตอร์ สยามดิสคอฟเวอรรี่ ฯลฯ สีสันและลีลาชีวิตของคนเมืองช่างเป็นดำกับขาวกับคนที่อยู่ชายขอบ คนเมืองมีทุกอย่าง และถูกปรนเปรอทุกอย่างจนเห็นแก่ตัวอย่างไม่รู้ตัว
เมื่อโลกร้อน...ก็หาว่าป่าไม้ถูกทำลาย คนเมืองรียกร้องให้มีการอนุรักษ์ ลดการปริโภค แล้วก็เริ่มหาเหยื่อ นั่นไงพวกชาวเขาเป็นพวกตัดไม้ทำลายป่า ...ประณาม...
น้ำขาดแคลน...ต้องสร้างเขื่อน คนส่วนน้อยต้องเสียสละให้คนส่วนใหญ่ คนส่วนน้อย คือ คนบ้านนอกคอกนาที่ต้องถูกอพยพ คนส่วนใหญ่ คือ คนเมืองที่เรียกร้องเอาแต่ได้ทุกอย่าง
ประเทศชาติต้องการการพัฒนา เราต้องทำถนนหนทาง พัฒนาอุตสาหกรรม อาคารสถานที่ คนเมืองเรียกร้อง คนบ้านนอกคอกนา ต้องสูญเสียผืนป่าและขุนเขาที่เป็นแหล่งพึ่งพิงด้านความมั่นคงทางอาหารและหลักประกันของความสุขไป
คนเมืองเรียกร้องให้อนุรักษ์
คนบ้านนอกถูกกระทำ
คนเมือง ใช้ไฟฟ้าหามรุ่งหามค่ำ, ดูหนัง ฟังเพลง อยู่คอนโด ทาวเฮ้าส์ บ้านจัดสรร (ที่ต้องระเบิดภูเขาในป่ามาสร้าง) บริโภคทุกอย่างภายใต้กระแสทุนิยม
คนป่า ต้องอยู่หวาดระแวง กลัวถูกไล่ที่ คืนนี้จะนอนที่ไหน ถูกจับไหม ใครจะมากลั่นแกล้งอีก จะทำไร่ได้ไหม เพราะคนเมืองหาว่า พวกเขาเป็นนักทำลาย
นี่นะเหรอสังคมไทย
แม่ง...มันเห็นแก่ตัวฉิบหาย
พอไม่เขียนแล้ว ยิ่งเขียนยิ่งมีอารมณ์ดิบ........

ไม่มีความคิดเห็น: